ห้องเม่าปีกเหล็ก

MINT เสริมแกร่งฐานเงินทุนพร้อมลุย

โดย Sunnyday
เผยแพร่ :
59 views

MINT ราคาหุ้นพุ่ง 14.29% เสริมแกร่งฐานเงินทุนพร้อมลุยหลัง COVID-19

 

COVID-19 ถือเป็นปัจจัยกดดันที่สำคัญกับ MINT อย่างมาก เพราะทำให้การท่องเที่ยวชะลอตัว ส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างมองกันว่าปี 2563 จะเป็นปีที่แสนสาหัสของ MINT เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญยังมีโอกาสพลิกขาดทุนในระดับสูงด้วย


ทั้งนี้ MINT ก็ได้พยายามมองหาเม็ดเงินต่างๆ เพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจให้สามารถยืนหยัดต่อไปได้ ล่าสุดบริษัทประกาศเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,037,955,941 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับ 1.Right Offering 2.รองรับการใช้สิทธิของ MINT-W7 และ 3.รองรับการปรับสิทธิของ MINT-W6 ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินจาก Right Offering ประมาณ 10,000 ล้านบาท และจาก MINT-W7 อีกประมาณ 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในประเทศ/ต่างประเทศจำนวนเทียบเท่า 10,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/2563


แต่อย่างไรก็ตามแผนการเพิ่มทุนดังกล่าวออกมา กลับทำให้ราคาหุ้น MINT ฟื้นตัวกลับมาจากก่อนหน้านี้ที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยระหว่างวันที่ 22 พ.ค.2563 ถึงวันที่ 28 พ.ค.2563 ราคาหุ้นฟื้นตัวสูงถึงระดับ 14.29% ทำราคาสูงสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ 20.10 บาท


ล่าสุดมีประเด็นบวกเข้ามา เกี่ยวกับแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ รวมทั้งระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยก็มีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ลดลง ทำให้นักวิเคราะห์ต่างเชื่อว่าจะมีการผ่อนคลายมากขึ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศ โรงภาพยนตร์ ร้านนวด และกีฬาที่เล่นเป็นทีม ซึ่งจะเป็นบวกต่อ กลุ่มท่องเที่ยว อย่างมีนัยสำคัญ


แต่สำหรับ MINT มีเครือข่ายธุรกิจโรงแรมและอาหารที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งในแต่ละประเทศยังมีอัตราการติดเชื้อ COVID-19 อยู่ในระดับสูง ล่าสุดนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ยังให้คำแนะนำ "ขาย" บริษัทภายใต้การความครอบคลุมของฝ่ายวิจัย ประกอบด้วย CENTEL, MINT, ERW และ SHR


สวนทางกับ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่ได้แนะนำ "ซื้อ" MINT ราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น โดยยังคงมุมมองเชิงบวกในระยะยาว  พร้อมกับมองว่าไตรมาส 2/2563 น่าจะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุด เนื่องจากโรงแรมส่วนใหญ่ยังคงปิดให้บริการ พัฒนาการเชิงบวกมีให้เห็นในธุรกิจอาหาร โดยในประเทศไทย SSS หดตัวน้อยลงในเดือนเม.ย. (จากยอดขายผ่านบริการ delivery ที่เติบโตมากขึ้น) และจีน (หลังจากกลับมาเปิดร้านอาหารในเดือนมี.ค.)


ทั้งนี้มีมุมมองบวกต่อการดำเนินการเชิงรุกของ MINT เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานเงินทุน เนื่องจากกระแสเงินสดเพิ่มเติมจะช่วยให้ความตึงตัวทางการเงินในระยะสั้นผ่อนคลายลง และจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของ MINT เมื่อสถานการณ์ COVID-19 อยู่ภายใต้การควบคุมซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2563


สำหรับภาพระยะยาว ชอบที่ MINT มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจาก MINT เป็นผู้เล่นในธุรกิจโรงแรมและการบริการ (hospitality) ระดับโลกที่มีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ แม้ราคาหุ้นรีบาวด์ แต่ราคาหุ้น MINT ยังปรับตัวลดลง 50% YTD เทียบกับ SET ที่ลดลง 17% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมากแล้ว และปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจะมาจากการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินงานของ MINT


ส่วน สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ได้ให้คำแนะนำ “ถือ” MINT ราคาเป้าหมาย 15 บาท/หุ้น โดยมองว่าการฟื้นตัวของจีนและเวียดนามเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจน และการเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยในระยะสั้นมองว่าการฟื้นตัวจะมาจากโรงแรมในประเทศเป็นหลัก และอุปสงค์ในกลุ่มที่ฟื้นตัวเร็ว และ MINT ได้มีการหยุดแผนการลงทุน พร้อมลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงแล้ว


ขณะเดียวกันได้ปรับประมาณการปี 2563-2564 ลง 267% และ 31% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนการดำเนินงานของ NH ที่อ่อนแอลง รวมถึงแผนการเพิ่มทุน 2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเงื่อนไขของหู้นกู้จะไม่เป็นปัญหาหากการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 3/2563 เป็นต้นไป


เช่นเดียวกันกับ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มองว่า กลุ่มท่องเที่ยวอาจเริ่มมองเห็นการเริ่มฟื้นตัวระยะสั้นหลังเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ทั้งนี้หากยา Remdesivir สามารถนำมารักษาแล้วเห็นผลดี มีความเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มกลับมา แนะนำ “เข้าสะสม” โดย Top pick ชอบ MINT, ERW, CENTEL


อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองว่า  กลุ่มโรงแรม อยู่บนความคาดหวังมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐ อาทิ คูปอง 50%  และกระแสการผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศ  หนุนราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นมาแรง จะเป็นเพียงการเก็งกำไรในระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าไป Trading ได้ แต่ต้องระมัดระวัง โดยในทางปัจจัยพื้นฐาน เชื่อว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการโรงแรมไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็ว


ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ได้ แนะนำ “ขาย” MINT ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท โดยยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังต่อ MINT จาก fully dilution ที่ 18% ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นในระยะกลาง


และ รายได้จากธุรกิจโรงแรม กระจุกตัวอยู่ในยุโรป (มากกว่า 60%) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวช้ากว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงว่าต่อความสำเร็จในการเพิ่มทุน และการออกพันธบัตรแบบไม่กำหนดอายุ (perpetual bond) ในไตรมาส 3/2563


ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับปี 2563 ลงเป็นขาดทุนสุทธิที่ 9.2 พันล้านบาท (จากเดิมคาดขาดทุนสุทธิที่ 4.2 พันล้านบาท) ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนที่กำไรสุทธิที่ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยเปรับ RevPar ลงเป็น -50% จากเดิมที่ -40% และปรับ GPM ลงเหลือ 32.7% จาก 42.8% จากต้นทุนที่ลดลงได้น้อยกว่าคาดในไตรมาส 1/2563ที่ทำได้เพียง 33.4%


ขณะที่คาดว่าไตรมาส 2/2563 จะเห็นขาดทุนหนักสุดในรอบปี เพราะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เต็มไตรมาส ส่วนธุรกิจโรงแรมเรายังไม่เห็นทิศทางที่จะกลับมาเปิดได้ เพราะสนามบินยังไม่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2563 และคาดว่าจะใช้เวลา 2 ปีกว่าจะเห็นกำไรปกติกลับมาที่ระดับเดียวกับปี 2562  จึงแนะนำ “ขาย” ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท/หุ้น

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Sunnyday