ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นไทยแพงไปแล้วหรือยัง ?

โดย S2Mcontent
เผยแพร่ :
64 views

ถ้าถามว่ารถเบนซ์ราคาแพงไหม ?


ด้วยราคาขายอย่างต่ำราว 2 ล้านบาท หลาย ๆ คนคงบอกว่าแพง แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับรถสุดหรูอย่างแบรนด์ Bugatti ซึ่งราคาที่ยังไม่รวมภาษีนำเข้าก็ราว ๆ เกือบ 60 ล้านบาท ราคาของรถเบนซ์ก็อาจจะดูถูกลงไปพอสมควร ในเรื่องการลงทุนก็คล้ายคลึงกัน เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าตลาดหุ้นของประเทศใดประเทศหนึ่งแพงไปแล้วหรือยัง โดยไม่ทำการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

 

ในบทความนี้จะเลือกตลาดหุ้นชั้นนำทั่วโลกมาเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทยในแง่ของค่า PE เฉลี่ย, ค่า PBV เฉลี่ย และอัตราเงินปันผลเฉลี่ยเพื่อที่จะลองหาข้อสรุปว่าปัจจุบันนี้หุ้นไทยดูแพงไป หรือ ไม่..

 

โดยค่าสถิติที่ใช้จะเป็นค่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ของปี 2560 PE เฉลี่ยของตลาดหุ้น 39 แห่งในโลก ซึ่งรวมทั้งตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ณ สิ้นไตรมาส 1 อยู่ที่ 20.2 เท่า

 

โดย PE เฉลี่ยของตลาดพัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น อยู่ที่ 21.5 เท่า และของตลาดเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย อินโดนีเซีย ซึ่งไทยก็ถูกรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยอยู่ที่ 14.9 เท่า หากดูเฉพาะ PE ของตลาดหุ้นไทยซึ่งอยู่ที่ 15.9 เท่า ดูเหมือนว่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่นิดหน่อย แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่พอสมควร

 

หันมาดูในแง่ของ PBV กันบ้าง ตอนนี้ค่าเฉลี่ยของ 39 ตลาดอยู่ที่ 2.0 เท่า ตลาดพัฒนาแล้วอยู่ที่ 2.1 เท่า และตลาดเกิดใหม่อยู่ที่ 1.7 เท่า ซึ่งค่า PBV ของไทยก็อยู่ที่ 2.0 เท่า ซึ่งพอดีกับค่าเฉลี่ยของตลาดทั้งหมด

 

หากลองพิจารณาในแง่ของ PBV และ ROE ประกอบกันโดยเทียบของตลาดไทย ซึ่งมี PBV อยู่ที่ 2 และ ROE เฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 12% กับ S&P 500 ของอเมริกา ซึ่งมีค่าเฉลี่ย PBV อยู่ที่ 3.0 เท่า และ ROE เฉลี่ยที่ 13% ก็ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นไทยยังดูน่าดึงดูดกว่า



ในส่วนของอัตราเงินปันผล ค่าเฉลี่ยของตลาดชั้นนำของโลกอยู่ที่ 2.5% ตลาดพัฒนาแล้วอยู่ที่ 2.4% ตลาดเกิดใหม่อยู่ที่ 2.9% และของไทยอยู่ที่ 3.1%

 

ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งตลาดให้ปันผลเฉลี่ยเพียงแค่ 1.9% และ 1.6% ก็ดูเหมือนว่าอัตราเงินปันผลของไทยดูจูงใจกว่า

 

ยิ่งเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนในประเทศของไทยที่ราว 1.7% จะพบว่าอัตราเงินปันผลเฉลี่ยจากตลาดหุ้นยังสูงกว่าราว 80% ดังนั้น ดูเหมือนว่าการลงทุนในหุ้นไทยก็ยังคงมีเหตุผลสนับสนุนพอสมควร



แต่กระนั้นก็ตาม การศึกษาความถูกแพงของตลาดแบบนี้ก็มีจุดอ่อน เพราะว่าเป็นการใช้ค่าสถิติของข้อมูลที่ผ่านมาแล้วเป็นหลัก และการใช้ PE ตลาดในการดูความถูกแพง ควรมีความเข้าใจในรายละเอียดประกอบ เช่น ในช่วงหลังวิกฤตซับไพรม PE เฉลี่ยของ S&P 500 ขึ้นไปสูงถึง 120 เท่า ทั้งนี้ เพราะผลประกอบการของกลุ่มธนาคารและประกันย่ำแย่มากผิกปกติ แต่กลับกลายว่าเป็นช่วงที่น่าลงทุนมากที่สุด เพราะปัจจัยความไม่แน่นอนหลายอย่างได้คลี่คลายไปแล้ว แต่ในทางกลับกันช่วงปี 2000 PE ของ S&P 500 อยู่ที่ 29.04 เป็นช่วงที่ไม่น่าลงทุนเพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มอิ่มตัว และกลับเป็นขาลงในอีกไม่กี่เดือนต่อมา



สำหรับตลาดหุ้นไทย หากพิจารณาโดยรวมจากข้อมูลทั้งหมดข้างต้นจะเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยมีความถูกแพงอยู่ในระดับกลาง ๆ ในแง่ของ PE และ PBV แต่ยังมีแรงจูงใจอยู่บ้างจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผล สิ่งสำคัญที่นักลงทุนแต่ละท่านคงต้องทำการประเมินเพิ่มเติมต่อจากนี้ก็คือ ท่านคิดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของไทยกำลังอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง ? ในช่วงที่ผ่านมามีหลายประเด็นที่ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเรื่องการลงทุนเอกชนที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง และการสูญเสียความสามารถการแข่งขันในการส่งออก



ผมคิดว่าคำถามสำคัญคือ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่เป็นปัจจัยลบ ท่านคิดว่ามันถึงจุดแย่ที่สุดแล้วหรือยัง ? เพราะถ้าที่แย่ที่สุดน่าจะผ่านไปแล้ว ด้วยมูลค่าตลาดในเวลานี้อาจจะเป็นช่วงเหมาะสมน่าลงทุนเหมือน S&P 500 ที่ PE 120 ตอนต้นปี 2009 ก็เป็นได้ แต่การประเมินนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้มากก่อนตัดสินใจ เพราะท้องฟ้าตอนตี 5 ก่อนรุ่งสาง กับท้องฟ้าตอนหัวค่ำราว 1 ทุ่มนั้นอาจจะมีระดับของแสงคล้าย ๆ กัน ถ้านักลงทุนเกิดพลาด คิดว่า 1 ทุ่มเป็นตี 5 อาจจะต้องเฝ้ารออีกนานหลายชั่วโมงกว่าจะเห็นพระอาทิตย์กันอีกครั้ง

 

คอลัมน์จัตุรัสนักลงทุน โดย คนขายของ

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 


S2Mcontent