ประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับหุ้น IPO ในบางเรื่อง
28 พ.ย. 2559 / 23.43 น.
เห็นมีการแชร์กันเยอะเกี่ยวกับหุัน "ถุงยาง" ที่จะเข้าตลาด และก็ให้ระวังในบางเรื่องเอาไว้ คือ ผมเองก็อ่านบทความอันนั้น แล้วมีบางข้อที่เห็นว่า ควรจะต้องนำมาชี้แจงแถลงไขให้ได้เข้าใจกัน ดังนี้
1. บริษัทที่ทำ IPO มีการกู้เงินจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง (ในกรณีของ TNR ก็กู้เงินกับ ธ. กสิกรไทย) และก็ว่าจ้าง บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในการเอาหุ้นเข้าตลาด และเงินที่ทำ IPO ได้ก็เอาไปคืนหนี้!!!
เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องปกติมากๆในการทำ IPO ของหุ้นนะครับ ไม่ได้เป็นอะไรที่ชวนสงสัย หรือต้องระแวงอะไรเลย
โดยปกติ บริษัททั่วไป ถ้าคิดจะกู้เงินธนาคาร ธนาคารจะมีการกำหนดระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเอาไว้ว่า "ต้องไม่เกินกี่เท่า"
แต่บริษัทอยากขยายธุรกิจอ่ะ อยากซื้อเครื่องจักร อยากเปิดโรงงานเพิ่ม หรืออยากอะไรก็ตามแต่ แต่ต้องใช้เงิน จะทำอย่างไร เจ้าของเองก็ไม่อยากเอาเงินตัวเองเข้ามาใส่่
ก็หาทางออกด้วยการ "กู้เงิน" ธนาคาร!!! แต่มันก็เป็นจำนวนที่มาก จนทำให้ระดับหนี้สินต่อทุนมันสูงกว่าที่ธนาคารจะยอมปล่อยกู้ให้ได้
ดังนั้น จึงมีแนวความคิดที่จะเอาหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการทำ IPO และก็คุยกับแบงก์
ในเมื่อคุณจะกู้เงินจากแบงก์กสิกรไทย คุณก็ต้องใช้บริการ บล.กสิกรไทยให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสิครับ ไม่งั้นกสิกรไทยจะยอมเหรอครับ??
พอมีแผนการจะเอาหุ้นเข้าตลาด ธนาคารจะยอมปล่อยเงินกู้ให้ โดยกำหนดในเงื่อนไขให้มีการผ่อนปรนระดับอัตราหนี้สินต่อทุนให้สูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้จนถึงปีที่บริษัทได้เงินจากการทำ IPO และมีข้อแม้ว่าเงินที่ได้จากการทำ IPO จะต้องนำมา "ชำระหนี้คืน"
สรุปคือ ทั้งหมดทั้งมวล มันมาเป็น แพคเกจตั้งแต่ต้นแล้วครับ
มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม TNR ถึงกู้เงินกสิกรไทยได้ก่อนหน้านี้ และทำไมต้องใช้บริการกสิกรไทย และทำไมต้องเอาเงินที่ได้จากการทำ IPO ไปคืนกสิกรไทย
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งสงสัย หรือจับผิดอะไรกันเลย มันคือ "ธุรกิจ" เป็นเรื่อง "ปกติ"
2. การจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมจนหมดก่อนจะเอาหุ้นเข้าตลาด
นี่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกันครับ ไม่ใช่เรื่องชวนสงสัย หรือระแวงอีกเช่นกัน
ในทางบัญชี เมื่อบริษัทมีกำไร กำไรนั้นจะถูกสะสมเอาไว้และบันทึกในรายการที่เรียกว่า "กำไรสะสม" ซึ่งอยู่ใน "ส่วนของผู้ถือหุ้น"ของบริษัท
หากบริษัทต้องการจะจ่าย "เงินปันผล" จะจ่ายได้จาก "กำไรสะสม" นี้เท่านั้น แต่ที่มาของเงินที่นำมาจ่ายนั้น จะเป็นเงินจากไหนอันนี้ตอบยาก
เพราะมาตรฐานการทำบัญชีใช้เกณฑ์ที่เรียกว่า "เกณฑ์สิทธิ" หรือ accrual basis ไม่ได้บันทึกบัญชีตามเงินสด หรือที่เรียกว่า cash basis
ดังนั้น แม้ในบัญชีจะมีการลง "กำไรสะสม" เอาไว้ แต่อาจไม่มี "เงินสด" จริงๆมาจ่ายปันผลก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นว่า หลายครั้ง บริษัท "กุ้เงินเพื่อมาจ่ายปันผล" ซึ่งในทางบัญชีไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า มาตรฐานการบันทึกบัญชีไม่ได้ใช้มาตรฐานเงินสด แต่จะจ่ายด้วยเงินอะไร จะต้องไม่เกิน "กำไรสะสม" ของบริษัทเท่านั้น
การที่ TNR จ่ายปันผลออกหมดจนเหลือกำไรสะสมแค่ 1 แสนบาท มันก็คือเรื่องปกติอีกนั่นล่ะครับ
ลองคิดให้ดีนะครับ กำไรที่สะสมมาทั้งหมดนั้น ใครเป็นคนบริหารงานมาครับ?? คำตอบคือ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมครับ
ดังนั้น ก่อนจะทำ IPO กระจายหุ้นเพิ่มเติมให้คนอื่นเข้ามาแชร์ความเป็นเจ้าของของบริษัท จะต้องมีการแบ่งผลกำไรที่สะสมเอาไว้คืนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดครับ
หลังทำ IPO ให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ ก็มานับกำไรกันใหม่ ส่วนที่ทำได้หลังจากนั้น จึงเป็นกำไรที่แบ่งสรรกันครบทุกคน
นักลงทุนที่จอง IPO ก็ไม่ควรมีสิทธิไปเกี่ยวข้องกับ "กำไรในส่วนที่ทำได้ก่อน IPO" อยู่แล้วครับ เป็นเรื่องที่ยุติธรรมดีแล้ว
ดังนั้น การจ่ายปันผลถี่ๆ บ่อยๆ ก่อน IPO นั้น เป็นการทำเพื่อจัดสรร "กำไรสะสม" ทั้งหมดที่มีอยู่เดิม ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมด
ซึ่งถือเป็นเรื่องปกตินะครับ ไม่จำเป็นต้องไประแวงสงสัยอะไร
3. หนี้สินต่อทุนของบริษัทก่อนเข้า IPO สูงมาก และทำ IPO เพื่อไปชำระคืนเงินกู้
อันนี้ก็ตามที่ได้บอกไปแล้วในข้อ 1 นะครับ
เรื่องแบบนี้อย่าถามแค่บริษัทครับว่า ทำไมหนี้ิสินต่อทุนสูงขนาดนี้ เราต้องถามย้อนไปทางธนาคารด้วยว่า ยอมปล่อยกู้จนให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุนขนาดนี้ได้อย่างไร?? โดยทั่วไปมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เพราะเคสของ TNR มันมาเป็นแพคเกจครับ (ก่อนหน้านี้ตัว RJH ก็เป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินก่อนแล้วก็ค่อยทำ IPO ไปคืนเงินกู้ก้อนนี้เหมือนกัน)
4. ผู้ถือหุ้นเดิมเอาหุ้นที่ถืออยู่เดิมมาร่วมขายด้วยในการทำ IPO
อันนี้เป็นเรื่องปกติเลยครับ การทำ IPO เป็นการ exit หรือดึงเงินออกของเจ้าของบริษัทครับ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่คนที่ก่อตั้งบริษัทมา เมื่อคิดทำ IPO นั่นหมายความว่า เขาต้องการ "เอาทุนคืน" เป็นอย่างน้อยครับ
การทำ IPO จึงถือเป็นการเลือกหนึ่งที่ทำให้เจ้าของกิจการได้เอาเงินคืนกลับไป
ซึ่งมันมีวิธีทำได้หลากหลาย
วิธีการเอาหุ้นเดิมที่ถืออยู่ออกมาร่วมขายด้วยแบบที่ TNR ทำอยู่นี้ ก็เป็นวิธีหนึ่งครับ แต่ทำกันไม่มากนัก เพราะมันสร้างภาพที่ไม่ดีว่า เจ้าของเดิมทำไมถึงอยากเอาหุ้นออกมาขายด้วย
ถ้าจะมีลูกเล่นหน่อยก็ต้องที่ปรึกษาการเงินอย่าง เอเซียพลัสเลยครับ นิยมทำแบบนี้กับหุ้น IPO ที่ผ่านมือของเขา ไม่ว่าจะเป็น TKN หรือ COM7
ตอน TKN เจ้าของทีแรกคิดจะเอาหุ้นเดิมของตัวเองมาร่วมขายด้วย แต่โดนที่ปรึกษาการเงินเบรคเอาไว้ เพราะกลัวหุ้นจะดูไม่ดี เจ้าของเลยยังไม่ขาย แต่ท้ายที่สุดก็มาโยนออกในรูปของ big lot อยู่ดี
เราจึงเห็นว่าทึ้ง TKN COM7 มีการทำ big lot หลังจากหุ้นเข้าตลาดมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว นี่ก็คือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำ IPO ด้วยครับ
ดังนั้น ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา ถือเป็น "เรื่องปกติ" และเป็นแนวทางปฏิบัติโดยทั่วไปของการทำ IPO ที่จะพึงกระทำกันได้อยู่แล้วนะครับ ไม่ได้เป็นอะไรที่ต้องกลัว
แต่ถ้าจะกลัว ผมแนะนำให้ไปอ่านในหนังสือชี้ชวนให้ดีๆนะครับ
บริษัทที่ก่อนเข้า IPO สักปีหนึ่งแล้วมีการเพิ่มทุนที่ราคาพาร์จำนวนมหาศาลให้กับผู้ถือหุ้นเดิมนี่ล่ะครับ ตรงนี้ล่ะ คือ "การกอบโกย" ที่ไม่น่าอภัย เลยจริงๆ ผมไม่ขอกล่าวละกันว่ามีหุ้นอะไรบ้างก่อนหน้านี้ รู้แต่ว่า "เพียบ"