ห้องเม่าปีกเหล็ก

ศึกสงครามราคาน้ำมัน “สหรัฐ-OPEC+”ใครจะชนะ

โดย dave
เผยแพร่ :
68 views

ศึกสงครามราคาน้ำมัน “สหรัฐ-OPEC+”ใครจะชนะ

 

 

ในขณะที่การเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน กำลังก้าวสู่ยกสุดท้าย แต่สงครามราคาน้ำมันยังเดินหน้าไปอย่างเงียบ ๆ ระหว่างสหรัฐ และกลุ่ม OPEC+ เป็นศึกการช่วงชิงผลประโยชน์จากตลาดน้ำมันโลก

ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการ์ราคาน้ำมันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันเฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น

น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) เพิ่มขึ้น  3.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 66.84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเวสท์เท็กซัสฯ (WTI) เพิ่มขึ้น 2.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 56.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เพิ่มขึ้น 3.18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 66.77 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและเป็นตัวกำหนดทิศทาง ยังเป็นกำลังการเลิตของกลุ่มโอเปกพันธมิตร อย่างรัสเซียและประเทศในเอเซียกลาง กับสหรัฐ

กลุ่มแรกต้องการลดกำลังการผลิตเพื่อรักษาระดับราคาให้สูงขึ้นราว ๆ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่สหรัฐไม่แน่ชัดว่าต้องการให้ราคาอยู่ที่ระดับไหน แต่ที่แน่ ๆ สหรัฐผลิตเพิ่มขึ้นและส่งออกมาขึ้น

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นหรือลง?

ปัจจัยกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

  • การเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้นแล้วที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 62 ต่อเนื่องจากเจรจาที่กรุงปักกิ่งสัปดาห์ก่อนหน้า ประธานาธิบดีนาย Donald Trump ระบุว่าการเจรจาคืบหน้าใกล้จะบรรลุ “Real Trade Deal” และอาจเลื่อนกำหนดเส้นตายเก็บอากรสินค้าขาเข้าจากจีน (1 มี.ค. 62) ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกรวมทั้งน้ำมันกระเตื้องขึ้น
  • Baker Hughes Inc. รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะ (Rig) น้ำมันดิบในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 ก.พ. 62 ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 4 แท่น มาอยู่ที่ 853 แท่น ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์
  • สมเด็จพระราชาธิบดี Salman bin Abdulaziz Al Saud แห่งซาอุดิอาระเบียสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี Vladimir Putin แห่งรัสเซีย โดยต่างให้คำมั่นว่าสนับสนุนความร่วมมือในตลาดพลังงาน อนึ่งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee) รายงานผลสำรวจระดับความร่วมมือในการลดกำลังการผลิต (Compliance Rate) ในเดือน ม.ค. 62 อยู่ที่ระดับ 83%
  • ICE รายงานสถานการณ์ลงทุนสัญญาน้ำมันดิบ Brent ในตลาดลอนดอน สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ก.พ. 62 กลุ่มผู้จัดการกองทุนปรับสถานะถือครองสุทธิ (Net Long Position) เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 9,392 สัญญา มาอยู่ที่ 275,449 สัญญา

ปัจจัยกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

  • วันที่ 24 ก.พ. 62 บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบีย Saudi Aramco รายงานแหล่งน้ำมัน Safaniyah ซึ่งเป็นแหล่งผลิตนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (กำลังการผลิตน้ำมันดิบรวมกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน) กลับมาดำเนินการผลิต หลังหยุดดำเนินการตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเรือทอดสมอเกี่ยวสายไฟฟ้าช่วงต้นเดือน ก.พ. 62
  • TransCanada Corp. รายงานท่อขนส่งน้ำมันดิบ Keystone (กำลังการสูบถ่าย 590,000 บาร์เรลต่อวัน) จากรัฐ Alberta ประเทศแคนาดา ไปยังโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ กลับมาดำเนินการวันที่ 19 ก.พ. 62 หลังเหตุน้ำมันรั่ว ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 62 อนึ่งรัฐ Alberta ประกาศแผนจัดหาโบกี้รถไฟบรรทุกน้ำมันดิบ 4,400 คัน เพื่อเพิ่มปริมาณส่งออก คาดว่าปริมาณขนส่งน้ำมันทางรถไฟจะเพิ่มขึ้นเพิ่ม 20,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.ค. 62 และ เพิ่มเป็น 120,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี พ.ศ. 2563
  • Energy Information Administration (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15ก.พ. 62 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 3.7 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 454.5 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี และการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 100,000 บาร์เรลต่อวัน ทำสถิติอยู่ที่  12 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นครั้งแรก
  • Commodity Futures Trading Commission (CFTC) รายงานสถานะการลงทุนสัญญาน้ำมันดิบ WTI ในตลาดนิวยอร์กและลอนดอน สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ก.พ. 62 กลุ่มผู้จัดการกองทุนปรับ Net Long Position ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 6,330 สัญญา มาอยู่ที่ 145,509 สัญญา ทั้งนี้ CFTC รายงานย้อนหลังในช่วงที่เกิด Partial Government Shutdown ในสหรัฐฯ ทำให้ประกาศข้อมูลล่าช้ากว่า ICE

แนวโน้มราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในปี พ.ศ. 2562 เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการเจรจาการค้า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump เผยว่าจะขยายกำหนดเส้นตายในการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมในวันที่ 1 มี.ค. 62 ออกไป หากสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติสงครามการค้าได้

ทั้งนี้ Trump คาดว่าจะได้พบกับประธานาธิบดีจีน นาย Xi Jinping ในเดือน มี.ค. 62 ที่รัฐ Florida สหรัฐฯ เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้าในขั้นสุดท้ายร่วมกัน

นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย นาย Khalid Al-Falih กล่าวว่า OPEC คาดหมายว่าตลาดน้ำมันจะเข้าสู่ภาวะสมดุลภายในเดือน เม.ย. 62 ซึ่งปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์โลกจะลดลงใกล้เคียงกับระดับค่าเฉลี่ยห้าปี

อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 15 ก.พ. 62 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ทั้งนี้ Goldman Sachs คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2562 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดว่าราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยในปี พ.ศ. 2562 และ พ.ศ. 2563 จะอยู่ที่ 60.0 –65.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ด้านเทคนิคสัปดาห์นี้คาดว่า ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 65.0-70.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบ NYMEX WTI อยู่ในกรอบ 55.0-60.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  ราคาน้ำมันดิบDubai  จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 64.5-69.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล

การช่วงชิงผลประโยชน์ในตลาดน้ำมันระหว่างสหรัฐ-กลุ่ม OPEC+ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันหรือฉุดราคาน้ำมันโลก อีกไม่นานก็คงรู้ ดังที่รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบียตั้งเป้าหมายไว้ภายในเดือนเม.ย.นี้

ต้องดูว่าราคาน้ำมันจะอยู่ระดับไหน และนั่นจะเป็นเป็นบทพิสูจน์ว่าใครชนะในศึกครั้งนี้

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..


dave