ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นแบงก์ฟื้นยกกลุ่ม

โดย dave
เผยแพร่ :
75 views

หุ้นแบงก์ฟื้นยกกลุ่ม มองปัจจัยบวกวัคซีนหนุน

หุ้นวัฎจักรทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นกลุ่มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงในช่วงเดือน พ.ย.  จนทำให้ราคาหุ้นหลายบริษัท ปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก ซึ่งกลุ่มแบงก์ถือว่ามีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนโดดเด่นและพลักดันให้มูลค่าหุ้นปรับตัวขึ้น

 

ก่อนหน้านี้หุ้นแบงก์เจอปัจจัยลบกดดันหลายด้านตั้งแต่ผลกระทบจากการล็อกดาวน์ทำให้ต้องช่วยเหลือลูกค้าพักชำระหนี้และดอกเบี้ย   ตามมาด้วยการคุมเข้มของแบงก์ชาติสั่งห้ามซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล   เพราะเป็นห่วงฐานะการเงินจะรองรับระยะยาวแค่ไหน  บวกกับผลประกอบการปรับตัวลดลงตามภาวะธุรกิจหยุดชะงัก 

 

ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ คลายความกังวลมากขึ้นด้วยไทยไม่มีการกลับมาระบาดรอบ2   ภาครัฐมีมาตรการช่วยเพิ่มเม็ดเงินในกระเป๋าให้ประชาชน    แบงก์ชาติไฟเขียวให้แบงก์กลับมาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2563 ได้  รวมทั้งผลทดสอบฐานะการเงินของกลุ่มแบงก์ออกมาแข็งแรงมากขึ้น  และประสิทธิภาพของวัคซีนที่จะเริ่มใช้กับประชาชนดีขึ้น 

ดังนั้นมูลค่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ถูกปรับตัวลดลงจากการเทขาย ดัชนีกลุ่มกลับมามาอยู่ที่ระดับ  330 จุด  มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปรวมอยู่ที่  2.4 แสนล้านบาท อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E)  กลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 10 เท่า จากก่อนหน้านี้เจอแรงขายมากกว่าแรงซื้อกด P/E ลงไปเหลือ 5 เท่า  ซึ่งมีความหมายว่ามูลค่าหุ้นถูกแต่ยังไม่จูงใจให้เข้าไปลงทุน สะท้อนจากราคาหุ้นกลุ่มแบงก์พึ่งปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงในเดือน พ.ย.  

โดยหุ้นแบงก์ใหญ่ราคาปรับตัวขึ้นมา มาสุด ธนาคารกสิกรไทย (BANK)  ราคาหุ้นสิ้นเดือนต.ค. อยู่ที่ 76.25 บาท สิ้นเดือนพ.ย. ราคาอยู่ที่  110 บาท เพิ่มขึ้น 44.2  ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)ราคาหุ้นสิ้นเดือนต.ค. อยู่ที่ 65 บาท สิ้นเดือนพ.ย. ราคาอยู่ที่  85.50 บาท  เพิ่มขึ้น 31.53   

ธนาคารกรุงไทย (KTB) ราคาหุ้นสิ้นเดือนต.ค. อยู่ที่ 8.65  บาท สิ้นเดือนพ.ย. ราคาอยู่ที่  10.70 บาท เพิ่มขึ้น   23.69   และธนาคารกรุงเทพ (BBL)  ราคาหุ้นสิ้นเดือนต.ค. อยู่ที่ 96.75 บาท สิ้นเดือนพ.ย. ราคาอยู่ที่  118 บาท  เพิ่มขึ้น 21.96   

นอกจากราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นแรงแล้วหุ้นแบงก์ยังเป็นเป้าหมายใหญ่ของเม็ดเงินต่างชาติในการเข้าซื้อลงทุนในรอบนี้ด้วย  โดยมี 2 ประเด็นหลักรองรับคือราคาหุ้นที่ลงมาค่อนข้างถูกจาก P/E ที่ต่ำ และ การปลดล็อกสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้

การเข้ามาลงทุนในหุ้นแบงก์ของต่างชาติจากตัวเลขที่ถือครองผ่าน บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (NVDR) มีการปรับเพิ่มขึ้นแทบทุกบริษัท  แต่ที่เพิ่มขึ้นโดดเด่นมากที่สุดยกให้ BBL มีสัดส่วนขึ้นมาอยู่ที่  23.77 

สำหรับการถือครองหุ้นต่างชาติผ่าน NVDR  ในหุ้นจะมีสิทธิรับแค่เงินปันผลแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงใดๆทั้งสิ้น   และการถือครองในกลุ่มแบงก์ทางแบงก์ชาติมีการกำหนดเกณฑ์เพดานไม่ให้เกิน 25  หากเกินเกณฑ์ดังกล่าวทาง NVDR จะให้มีการปรับพอร์ตถือครองให้เป็นไปตามเกณฑ์

ดังนั้นในบรรดาหุ้นแบงก์ใหญ่ BBL ถือว่ามีความเสี่ยงที่อัตราการถือครองหุ้นผ่าน NVDR จะเต็มเพดาน อาจจะทำให้มีผลต่อการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มของต่างชาติและดันราคาหุ้นอาจจะไม่ร้อนแรงเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากการถือครองผ่าน NVDR แล้วยังมีสัดส่วนการถือครองของต่างชาติ (Foreign Limit)  ที่กำหนดการถือหุ้นของต่างชาติตามเกณฑ์ที่บริษัทนั้นได้ขออนุญาตเอาไว้  หากดูจากสัดส่วนดังกล่าวจะพบว่า BBL  มีสัดส่วนใกล้เต็มเพดานมากที่สุดในกลุ่มแบงก์ เช่นกัน

อย่างไรก็ตามในภาพลงทุนของกลุ่มแบงก์ถือว่ายังมีแรงส่งไม่น้อย ยิ่งหากมีการใช้วัคซีนกับคนได้เป้นวงกว้างเมื่อไรหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมันจะได้รับผลดีก่อนหุ้นกลุ่มอื่น  จึงทำให้หลายโบรกมองเป็นโอกาสปรับน้ำหนักขึ้นจาก “ถือครอง”  หรือ Neutral  มาเป็น “เพิ่มน้ำหนักลงทุน “ หรือ Overweight

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave