Climate change-การปรับตัวสู่ดิจิทัล-ความเหลื่อมล้ำ 3 ปัจจัยท้าทายโลกปัจจุบัน ในมุมมอง ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’
ในช่วงเริ่มต้นปี ผู้นำองค์กรหรือซีอีโอของบริษัทใหญ่ ก็มักจะออกมาแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อให้ทุกคนได้ทราบถึงทิศทางและแนวคิดที่ใช้ขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งครอบคลุมในหลายประเด็น ไม่ใช่แค่ในธุรกิจที่ทำเท่านั้น เช่นกัน ในปี 2565 นี้ ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ได้ถือโอกาสขึ้นเวทีร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในโครงการ Climate Action Leaders Forum หรือ CAL Forum (รุ่น 1) เมื่อเร็วๆ นี้
งานนี้จัดขึ้นโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ร่วมกับ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ United Nations Development Programme (UNDP)
โดยหลักใหญ่ใจความที่ซีอีโอเครือซีพีได้ชี้ให้เห็น พุ่งประเด็นไปที่ความท้าทายใหญ่ของโลกที่เกี่ยยวข้องกับ “ความยั่งยืน-การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” ด้วยการย้ำสังคมให้ความสำคัญปัญหาโลกร้อนเร่งด่วน ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่า “เทคโนโลยีดิจิทัล-นวัตกรรม” ในยุคนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จุดประกายโลกสู่ความยั่งยืนได้
สร้างความตระหนักเรื่อง Climate change โดยใช้ นวัตกรรม-เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือ คือเรื่องท้าทายที่สุดของปีนี้
หัวข้อที่ ศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอเครือซีพีแสดงวิสัยทัศน์ คือ “Race to Zero : Toward a Green Economy” โดยได้ย้ำว่า “การจะขับเคลื่อนเรื่อง Climate Change ให้เห็นผลนั้นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องเริ่มจากความตระหนักรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่เรากำลังใช้อยู่ในการสร้างระบบเศรษฐกิจ สร้างความมั่งคั่ง สร้างงานกระจายรายได้ สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตได้ทั้งโลกนั้น กลับมีส่วนน้อยมากที่จะคำนึงถึงความยั่งยืน ทำให้ปัญหาภาวะเรือนกระจกและมลภาวะส่งผลอย่างเห็นได้ชัดมาสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในช่วงเวลาที่ผ่านมา 20-30 ปีมานี้”
“เราไม่สามารถปล่อยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาได้แล้ว”
สำหรับประเทศไทย จึงสำคัญและเร่งด่วนมากที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญในการร่วมปรับเปลี่ยนสู่การสร้างโลกที่ยั่งยืนภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะหากยังปล่อยให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจะเกิดผลเสียต่อระบบนิเวศของโลกที่ส่งผลต่อทุกสิ่งมีชีวิตจนถึงตั้งแต่ระดับพื้นฐานคือระบบวัตถุดิบการเกษตรต่างๆ ที่จะมีผลจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังการผลิตอาหารของโลก และคุณภาพชีวิตทั้งหมด”
และในวันนี้ โลกมีความท้าทายสำคัญ 3 ด้านที่ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง คือ
- 1. ความเหลื่อมล้ำ
- 2. การปรับตัวสู่ดิจิทัล
- 3. ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
“โดยทั้งหมดเกี่ยวข้องเป็นลูกโซ่ ดังนั้นทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนความท้าทายเหล่านี้ร่วมกัน โดยเฉพาะความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนโลกที่ยั่งยืนขึ้น เพราะวันนี้ทุกเรื่องอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีทั้งหมด”
“ดังนั้น การที่ภาครัฐและเอกชนมีความตระหนักรู้ที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาขับเคลื่อน ปรับเปลี่ยนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการใช้พลังงาน โดยหันมาใช้พลังงานทดแทนต่างๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทั้งหมด (Landscape Changing) ในระบบอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะมีผลดีต่อการสร้างความยั่งยืนต่อไปในอนาคต และยังเป็นโอกาสสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม”
“อาทิ อุตสาหกรรมและธุรกิจที่ต่อยอดมาจากพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งหลายประเทศมองว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ๆ มาผนวกกับการสร้างอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงความยั่งยืนนั้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมให้กับโลก”
ศุภชัย เจียรวนนท์ ชี้ แนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนของซีพี ได้รับการยอมรับในระดับโลก
ซีอีโอเครือซีพี กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการของเครือซีพีในด้านความยั่งยืนที่ผ่านมามีการปรับตัวของการดำเนินธุรกิจในกลุ่มต่างๆ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมตลอดจนการสร้างความยั่งยืนจนปัจจุบันเครือซีพีได้รับการยอมรับในระดับโลกทั้งในเวที UN Global Compact และติดในท็อปของ 38 บริษัทระดับโลกที่ดำเนินการเรื่องความยั่งยืนที่เปลี่ยนแปลงได้จริง โดยกระบวนการที่ซีพีใช้อยู่บนพื้นฐานหลัก 5 ประการ คือ
- 1. ความโปร่งใสของข้อมูล
- 2. กลไกตลาด
- 3. ความเป็นผู้นำ
- 4. การให้อำนาจ
- 5. นวัตกรรมและเทคโนโลยี
โดยทั้งหมดอยู่บนแนวคิดจุดเริ่มต้นของการมี Compassion ที่คำนึงถึงการตระหนักรู้ว่าจะต้องสร้างพลังที่คำนึงถึงความยั่งยืน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการกับความยั่งยืนในทุกมิติให้กับเยาวชน
“ซีพี” ก้าวสู่องค์กรปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมปลุกภาคเอกชนเดินหน้าลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีลดโลกร้อน
นอกจากการกล่าวเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ ซีพี บนเวที CAL Forum (รุ่น 1) ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คุณศุภชัยยังได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Business Leaders to Share Vision and Experiences on Net-zero Transformation” หรือ “การแบ่งปันวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของผู้นำเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” ในโอกาสประชุม รัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร
โดยประเทศไทยได้มีการจัดกิจกรรมคู่ขนาน Climate Action Leader Forum 2021 ผ่านระบบออนไลน์ ณ ศาลาไทย (Thai Pavilion) บนเวที Thailand Minister’s Climate Talk and Business Leaders to Share Vision and Experiences on Net-zero Transformation
และจุดประสงค์ของกิจกรรมนี้ ก็เพื่อระดมความคิดผู้นำในองค์กรชั้นนำของประเทศไทยทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันต่าง ๆ เกี่ยวกับการสานต่อเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส รวมไปถึงความมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ในครั้งนั้น ซีอีโอเครือซีพี ได้กล่าวไว้ว่า
“ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในจุดที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบต่างๆ ที่มาจากภาวะโลกร้อนจะส่งผลต่อกระบวนการผลิตเพื่อบริโภคท่ามกลางจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราของเสียจากกระบวนการผลิตและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น”
“และแนวโน้มที่รอไม่ได้นี้เอง ที่ส่งผลให้ภาคธุรกิจและทุกอุตสาหกรรมต้องเร่งร่วมมือกันรับผิดชอบในการสร้างความยั่งยืน ดำเนินการและมุ่งมั่นสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้”
“ในฐานะที่เครือซีพีเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนโลก (UN Global Compact Lead) จากสหประชาชาติ ซีพีได้กำหนดเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่องค์กร Zero food Waste และ Zero Emission ภายในปี 2030 โดยขณะนี้ได้เตรียมทุกอย่างที่ทำได้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนี้ รวมถึงการก้าวเข้าสู่โอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนด้วย”
“โดยธุรกิจของเครือซีพีได้เปลี่ยนแปลงและปรับตัวสู่รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในหลายมิติ ทั้งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก โทรคมนาคม ตลอดจนการดำเนินธุรกิจใน 21 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ สำหรับอุตสาหกรรมด้านการเกษตร ซีพีได้ปรับตัวสู่การดำเนินการบนความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานที่จะต้องสร้างความร่วมมือให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักรู้และมีแรงจูงใจในการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนไปด้วยกัน”
“ที่ผ่านมา ในบริบทของประเทศไทย ภาคธุรกิจจำนวนมากต่างพยายามที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จะมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการในเรื่องเศรษฐกิจและความยั่งยืนได้มากขึ้น เช่น การทำฟาร์มอัจฉริยะ การใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิต การใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการพัฒนาแพลตฟอร์มและโซลูชั่นต่างๆ ถือเป็นโอกาสที่จะช่วยพลิกวิกฤติครั้งนี้ให้ได้”
“แม้เราจะตั้งคำถามถึงสิ่งที่ทำวันนี้ว่ายังไม่เห็นผลชัดเจน แต่การทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องหาตัวเลขต่างๆ มาบอกเรา ในเมื่อวันนี้วิถีที่มนุษย์บริโภค การใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้สร้างก๊าซเรือนกระจกและของเสียออกมาซึ่งทั้งหมดไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืน”
“ผมเชื่อว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ในวิกฤตด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนี้จะทำให้เราได้มีโอกาสสร้างความยั่งยืน จัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อโลกได้”
“ดังนั้นภาคธุรกิจควรลงทุนอย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่ลงทุนในเรื่องพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่ยังมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่เราต้องลงทุนต่อไปเพื่อดำเนินการและรับผิดชอบว่าภาคธุรกิจจะไม่ปล่อยมลพิษมากขึ้น รวมทั้งมุ่งสู่ Net Zero ได้สำเร็จบนพื้นฐานที่จะพัฒนาและเรียนรู้ตลอดเวลา ซึ่งเครือซีพีหวังว่าเราจะสามารถแบ่งปันทั้งบทเรียนและความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่อไป”