What if... จีนกดปุ่ม "ขายเกลี้ยง" พันธบัตรสหรัฐฯ? โลกจะพัง หรือแค่เกมปั่นประสาท!
สวัสดีค่ะแฟนเพจทุกท่าน วันนี้แอดจะมาชวนคุยเรื่องใหญ่ระดับโลก ที่หลายคนอาจเคยได้ยินผ่านๆ หู แต่ยังงงๆ อยู่ว่ามันคืออะไรกันแน่ เรื่องนั้นก็คือ "ถ้าจีนเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ถืออยู่ทั้งหมด จะเกิดอะไรขึ้น?"
ฟังดูน่าตื่นเต้นเหมือนในหนังเลยใช่ไหมคะ? เขาเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่าเป็นเหมือน "ตัวเลือกสุดท้าย" หรือ "ไพ่ตาย" (Nuclear Option) ในโลกการเงินเลยทีเดียวค่ะ

ยาวมาก แต่เนื้อหาครบ... มีสรุปช่วงท้าย สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้ค่ะ
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า "พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ" (U.S. Treasury bonds) คืออะไร? พูดง่ายๆ มันก็เหมือนกับ "ใบสัญญาเงินกู้" ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาขายเพื่อระดมทุนไปใช้จ่ายนั่นเองค่ะ และพันธบัตรนี้ถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยนะ
แล้วจีนมาเกี่ยวอะไรด้วย? ก็เพราะจีนถือพันธบัตรสหรัฐฯ เยอะมาก! สะสมมานานหลายสิบปี ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ ต้นปี 2025) จีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่นเลยค่ะ โดยมีมูลค่าประมาณ $760,000 - $780,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (บางข้อมูลประเมินว่าอาจสูงถึง $1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ถ้ารวมที่ถือผ่านตัวแทนในต่างประเทศด้วย) เยอะมากๆ เลยใช่ไหมคะ?
ทำไมจีนถึงซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เยอะขนาดนี้?
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะคะ มันเป็นผลพวงมาจากกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของจีนเองค่ะ
เงินดอลลาร์ล้นมือจากการค้า: จีนขายของให้สหรัฐฯ มากกว่าที่ซื้อ ทำให้ได้เงินดอลลาร์มาเยอะมาก พอผู้ส่งออกจีนได้เงินดอลลาร์มา ก็ต้องแลกเป็นเงินหยวนเพื่อจ่ายค่าแรงและค่าใช้จ่ายในประเทศ ทำให้ธนาคารกลางจีนมีเงินดอลลาร์เก็บไว้มหาศาล แล้วจะเอาเงินดอลลาร์กองโตนี้ไปทำอะไรดีล่ะ? ก็ต้องหาที่ลงทุนที่ปลอดภัยและเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย (มีสภาพคล่องสูง) ซึ่งพันธบัตรสหรัฐฯ ตอบโจทย์ตรงนี้เป๊ะเลยค่ะ
ความปลอดภัยและเสถียรภาพ: พันธบัตรสหรัฐฯ ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย เพราะมีรัฐบาลสหรัฐฯ ค้ำประกัน แถมเงินดอลลาร์ยังเป็นสกุลเงินหลักของโลก การถือพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยเป็นดอลลาร์จึงเป็นวิธีเก็บเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ
ช่วยพยุงการส่งออก: การนำเงินดอลลาร์ที่ได้จากการค้าไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ต่อ ทำให้จีนไม่ต้องรีบแลกเงินดอลลาร์ทั้งหมดเป็นเงินหยวน ซึ่งช่วยไม่ให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าเร็วเกินไป พอเงินหยวนไม่แข็งค่ามาก สินค้าจีนก็ราคาถูกลงในสายตาชาวโลก ทำให้แข่งขันได้ดีขึ้น สรุปง่ายๆ คือ การซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องช่วยให้จีนรักษาการส่งออกและเศรษฐกิจให้เติบโตได้ค่ะ
ตลาดใหญ่และซื้อง่ายขายคล่อง: ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ใหญ่มาก (หนี้สาธารณะรวมของสหรัฐฯ มีประมาณ $36 ล้านล้านดอลลาร์) และมีสภาพคล่องสูง หมายความว่าจีนสามารถซื้อหรือขายในปริมาณมากๆ ได้ค่อนข้างง่าย (ในภาวะปกติ) ซึ่งตลาดพันธบัตรของประเทศอื่นทำแบบนี้ได้ยากกว่า
มีคนเคยเปรียบเปรยไว้น่าสนใจว่า "จีนให้สหรัฐฯ กู้เงิน เพื่อที่สหรัฐฯ จะได้มีเงินมาซื้อสินค้าที่จีนผลิตต่อไป" เหมือนเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันทางการเงิน แม้ว่าการเมืองจะดูขัดแย้งกัน แต่เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศผูกกันแน่นแฟ้นมากๆ ค่ะ
แล้วทำไมจีนถึงคิดจะขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทิ้งล่ะ?
ในเมื่อดูเหมือนต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ แล้วทำไมถึงมีแนวคิดว่าจีนอาจจะ "เทขาย" พันธบัตรสหรัฐฯ ที่ตัวเองถืออยู่? เหตุผลที่เป็นไปได้ (แต่ยังเป็นแค่ทฤษฎีนะคะ) มีอยู่ไม่กี่อย่างค่ะ เช่น
ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง: บางคนในจีนมองว่า การถือหนี้สหรัฐฯ จำนวนมหาศาลนี้เป็นเหมือน "อาวุธ" ที่ใช้กดดันรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ เช่น ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีน หรือมีนโยบายที่ไม่เป็นมิตร จีนอาจขู่ว่าจะเทขายพันธบัตรเพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น เขย่าขวัญเศรษฐกิจอเมริกาซะเลย เหมือนเป็นการใช้การเงินมาข่มขู่กัน
ปกป้องค่าเงินหยวน: น่าแปลกที่เหตุผลที่จีนเคยขายพันธบัตรสหรัฐฯ จริงๆ ในอดีต ไม่ใช่เพื่อโจมตีสหรัฐฯ แต่เพื่อปกป้องค่าเงินหยวนของตัวเอง เช่น ตอนปี 2015 ที่เกิดความกังวลเรื่องค่าเงินหยวน
ธนาคารกลางจีนได้ขายพันธบัตรสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งออกไป เพื่อนำเงินดอลลาร์มาพยุงค่าเงินหยวนที่กำลังร่วง เพราะมีเงินทุนไหลออกจากประเทศ แต่การทำแบบนี้ก็ต้องแลกกับการที่เงินสำรองฯ หายไปหลายแสนล้านดอลลาร์ จีนเลยระมัดระวังมากขึ้น แต่ถ้าค่าเงินหยวนเกิดวิกฤตตกต่ำรุนแรงอีก จีนก็อาจต้องขายสินทรัพย์สหรัฐฯ บางส่วนออกมาเพื่อรักษาเสถียรภาพ
ความกลัวเรื่องมาตรการคว่ำบาตร: เหตุการณ์ที่รัสเซียโดนคว่ำบาตรในปี 2022 ทำให้เงินสำรองดอลลาร์ของธนาคารกลางรัสเซียส่วนใหญ่ถูกอายัด เรื่องนี้ทำให้จีนใจคอไม่ดี และเริ่มกังวลว่าสินทรัพย์ดอลลาร์ของตัวเอง (เช่น พันธบัตรสหรัฐฯ) อาจตกอยู่ในความเสี่ยงหากเกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
เลยมีเสียงเรียกร้องในจีนให้ลดการพึ่งพาระบบเงินดอลลาร์ ถ้าสถานการณ์ตึงเครียดมากๆ จีนอาจตัดสินใจชิงขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกอายัด และเพื่อแสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมรับมือกับการแยกตัวทางการเงิน
กระจายความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ลงทุน: จีนอาจจะค่อยๆ ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ลงด้วยเหตุผลทางการเงินล้วนๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจไม่น่าสนใจเท่าเดิม หรือจีนอาจอยากนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซื้อทองคำ หรือใช้สนับสนุนโครงการในต่างประเทศ
จริงๆ แล้ว จีนก็ได้ทยอยลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ มาเรื่อยๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา (จากจุดสูงสุดที่กว่า $1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ราวปี 2013 ลดลงมาเหลือประมาณ $759,000 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2024) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนกำลังค่อยๆ ลดความเสี่ยง แต่ยังไม่ได้ทิ้งไปเลย การเทขายพรวดเดียวจะเป็นอะไรที่รุนแรงกว่าการค่อยๆ ลดแบบนี้มากค่ะ
แต่ต้องเข้าใจนะคะว่า ทุกเหตุผลที่ว่ามานี้มีข้อเสียใหญ่หลวง เพราะการใช้หนี้เป็นอาวุธก็เหมือนดาบสองคมที่อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
การขายพันธบัตรเพื่อพยุงค่าเงินก็คือการสละสินทรัพย์อย่างหนึ่งไปแก้ปัญหาอีกอย่าง และการเทขายเพราะกลัวโดนคว่ำบาตรก็อาจสร้างความปั่นป่วนทางการเงินที่กระทบทุกคน สรุปคือ จีนต้องอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันหรือเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงจริงๆ ถึงจะคิดใช้ "ไพ่ตาย" ใบนี้
ถ้าจีนเทขายจริง ตลาดจะรับไหวไหม?
ลองจินตนาการภาพตามนะคะว่า ถ้าหากจีนกดปุ่ม "ขาย" พันธบัตรสหรัฐฯ มูลค่าราว $1 ล้านล้านดอลลาร์ (บวกลบ) ที่ถืออยู่ จะเกิดอะไรขึ้นทันที?
ในตลาดพันธบัตร การเทขายครั้งใหญ่หมายถึงมีของ (พันธบัตร) ออกมาล้นตลาด ทำให้ราคาพันธบัตรตกฮวบ และอัตราผลตอบแทน (Yield หรือที่เราเรียกติดปากว่าดอกเบี้ย) พุ่งสูงขึ้น
ดังนั้นถ้าจีนเทขายจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เราน่าจะได้เห็นราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ดิ่ง และอัตราดอกเบี้ยพุ่งพรวดในระยะสั้น โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่าถ้าจีนขายหมดแบบไม่มีใครเข้ามาช่วย อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาว เพิ่มขึ้นประมาณ 30 ถึง 60 เบสิสพอยต์ (Basis Points) หรือคิดเป็น 0.3% ถึง 0.6% ค่ะ
พูดง่ายๆ คือ จากเดิมดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 4% อาจกระโดดไปที่ 4.5% หรือ 5% ได้เลย
ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้นนี้สำคัญมาก เพราะมันเป็นตัวอ้างอิงต้นทุนการกู้ยืมทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ดอกเบี้ยบ้าน ดอกเบี้ยรถ ไปจนถึงต้นทุนกู้เงินของภาคธุรกิจ
ขนาดแค่มีความกังวลว่าจีนอาจจะขายพันธบัตรนิดหน่อย ก็เคยทำให้ตลาดสินเชื่อบ้านในสหรัฐฯ สั่นคลอนมาแล้ว เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรที่สูงขึ้นจะดันดอกเบี้ยบ้านให้สูงตามไปด้วย ทำให้คนอเมริกันกู้ซื้อบ้านแพงขึ้น
อย่างไรก็ตาม มันก็มี "กันชน" สำคัญที่จะช่วยดูดซับแรงกระแทกนี้ได้ค่ะ เช่น
ขนาดของตลาดที่ใหญ่มาก: ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ใหญ่และสภาพคล่องสูงมากๆ ในวันปกติมีการซื้อขายกันประมาณ $900,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าวันไหนที่ซื้อขายหนักๆ อาจทะลุ $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ได้เลย
ทำให้ปริมาณพันธบัตรทั้งหมดที่จีนถืออยู่ แม้จะดูมหาศาล แต่ก็พอๆ กับปริมาณซื้อขายหนักๆ แค่วันเดียวเท่านั้นเองค่ะ หมายความว่าถ้าจีนค่อยๆ ทยอยขาย ตลาดก็น่าจะค่อยๆ รับได้ แม้ราคาและดอกเบี้ยอาจจะต้องปรับตัวเพื่อจูงใจผู้ซื้อรายใหม่
หนี้ก้อนนี้ไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนมือไปอยู่กับคนอื่น (หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเข้ามาซื้อแทน) คำถามสำคัญคือ ต้องลดราคา (ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น) แค่ไหนถึงจะมีคนยอมซื้อต่างหากค่ะ
ผู้ซื้อรายอื่นเข้ามาแทน: อย่าลืมว่าพันธบัตรสหรัฐฯ ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในสถานการณ์ที่การขายของจีนทำให้ตลาดปั่นป่วน นักลงทุนจำนวนมาก (ตั้งแต่กองทุนบำนาญไปจนถึงธนาคารกลางประเทศอื่นๆ) อาจจะมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้ามาซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ตอนที่ดอกเบี้ยสูงขึ้นก็ได้ เช่น ถ้าดอกเบี้ยพุ่งสูงมาก นักลงทุนที่มองหาของถูกและลงทุนระยะยาวอาจเห็นว่าพันธบัตรสหรัฐฯ กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
ในอดีตก็เคยมีกรณีที่ผู้เล่นรายใหญ่ขายพันธบัตรออกไป แล้วมีรายอื่นเข้ามาซื้อแทน เช่น ตอนปี 2015 ที่จีนขายพันธบัตรเพื่อพยุงค่าเงินหยวน
นักวิเคราะห์ชี้ว่าการขายของจีนตอนนั้นแค่ช่วย "กัน" ไม่ให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่ำลงไปกว่านั้นอีก มากกว่าที่จะทำให้ดอกเบี้ยพุ่งกระฉูด แสดงว่ามีแรงซื้อจากที่อื่นมากพอจะดูดซับไปได้โดยไม่เกิดความโกลาหล หรือแม้แต่ญี่ปุ่น (ผู้ถือรายใหญ่อันดับ 1) ประเทศร่ำรวยน้ำมัน หรือสถาบันในสหรัฐฯ เอง ก็อาจจะเพิ่มการซื้อถ้าเห็นว่าพันธบัตรราคาถูกลงชั่วคราว
ทยอยขาย หรือ เทกระจาด?: วิธีการขายของจีนสำคัญมากค่ะ ถ้าค่อยๆ ลดการถือครองลงอย่างเป็นระเบียบในเวลาหลายเดือนหรือหลายปี ผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยน่าจะมีไม่มากนัก แค่กดดันให้ค่อยๆ สูงขึ้นเล็กน้อย
ซึ่งอย่างที่บอกไป จีนก็ทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว ตลาดก็ไม่ได้พังทลาย แต่ถ้าจีนพยายามเทขายทั้งหมดในชั่วข้ามคืน ผลกระทบก็จะแรงกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ตลาดประมูลและตลาดรองของพันธบัตรสหรัฐฯ ก็คงปรับตัวโดยยอมให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นจนกว่าจะมีคนซื้อ มันอาจจะวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายตลาดก็จะหาจุดสมดุลใหม่ได้
สรุปสั้นๆ คือ ระบบการเงินโลก "น่าจะ" รับมือกับการเทขายของจีนได้ แต่ต้องแลกมาด้วยความปั่นป่วนในระยะสั้น เช่น ดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูงขึ้น ตลาดผันผวน และความเชื่อมั่นอาจลดลงจนกว่าจะมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามา
รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นในการกู้เงินรอบใหม่ แต่ลุงแซมคงไม่ถึงกับหาคนให้กู้ไม่ได้ แค่อาจจะต้องจ่ายแพงขึ้นหน่อยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และคนอื่นๆ จะตอบสนองอย่างไร?
เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่การเทขายของจีนไม่น่าจะล่มสหรัฐฯ ได้ ก็เพราะอเมริกาก็มีไพ่เด็ดอยู่ในมือเหมือนกัน นั่นคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ "เฟด" (Federal Reserve) ค่ะ
เฟดสามารถ "สร้าง" เงินดอลลาร์ขึ้นมาและเข้าซื้อสินทรัพย์ได้แทบจะไม่อั้น ถ้าจีนคิดจะถล่มตลาดด้วยการเทขายพันธบัตรเพื่อปั่นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ให้พุ่งกระฉูด เฟดก็สามารถก้าวเข้ามาเป็น "ผู้ซื้อรายสุดท้าย" ได้เลย ผู้เชี่ยวชาญมักพูดว่า "เฟดคือผู้เล่นเพียงรายเดียวในโลกที่สามารถซื้อได้มากกว่าที่จีนจะขายได้ทั้งหมด"
นี่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีนะคะ เฟดเคยทำมาแล้ว! ทั้งตอนวิกฤตการเงินปี 2008 และตอนวิกฤตโควิดปี 2020 โดยเฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ (ที่เรียกว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE) เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด
เฟดสามารถทำแบบนั้นได้อีกครั้งในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อดูดซับพันธบัตรที่จีนเทขายออกมา และป้องกันไม่ให้ดอกเบี้ยพุ่งสูงเกินไป
แน่นอนว่า การที่เฟดเข้าซื้อพันธบัตรเป็นล้านล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับเป็นการ "พิมพ์เงิน" ออกมา ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและกระตุ้นเงินเฟ้อได้ถ้าทำมากเกินไป แต่ในมุมของสหรัฐฯ การยอมให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอาจเป็นราคาที่คุ้มค่าที่จะจ่าย เพื่อป้องกันความโกลาหลทางการเงิน
แถมเงินเฟ้อยังจะกัดกร่อนมูลค่าที่แท้จริงของหนี้ หมายความว่าเงินสดที่จีนได้จากการขายพันธบัตรจะมีอำนาจซื้อน้อยลงไปอีก มีคนวิเคราะห์แบบติดตลกว่า สหรัฐฯ สามารถ "พิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ" ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เป็นผลเสียต่อเจ้าหนี้ (จีน) แต่ช่วยลดภาระให้ลูกหนี้ (สหรัฐฯ) กลายเป็นว่าการเทขายของจีนอาจกระตุ้นให้เกิดผลลัพธ์ที่จีนไม่อยากเห็น นั่นคือดอลลาร์อ่อนค่าและหนี้ถูกจ่ายคืนด้วยเงินที่ถูกลง!
นอกจากเฟดแล้ว ผู้ซื้อสถาบันอื่นๆ ก็จะเข้ามาด้วย ธนาคารใหญ่ๆ กองทุนบำนาญ บริษัทประกัน ในสหรัฐฯ ต่างก็มีความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้ว ถ้าดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นจากการเทขาย สถาบันเหล่านี้ก็อาจเข้ามาซื้อตุนในราคาที่น่าสนใจ
พันธมิตรต่างประเทศอย่างญี่ปุ่นหรือธนาคารกลางยุโรป ก็อาจจะแอบเข้ามาช่วยซื้อเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาด โดยเฉพาะถ้ามีการประสานงานกันผ่านกลุ่ม G20 เพราะถ้าตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ล่ม มันจะเสียหายกันทั้งโลก
สรุปคือ อำนาจของเฟดและความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ จากนักลงทุนทั่วโลก ทำหน้าที่เหมือนเป็น "ประกัน" ป้องกันไม่ให้ผู้ขายรายใดรายหนึ่ง (แม้แต่จีน) สามารถทำลายเสถียรภาพตลาดได้ในระยะยาว การตอบสนองต่อการเทขายของจีนน่าจะเป็นการเข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วของเฟด และการเข้ามาช้อนซื้อของผู้เล่นรายอื่น ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสียหายหลังจากที่ดอกเบี้ยพุ่งขึ้นไปในช่วงแรก
บทเรียนจากอดีต: เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไหม?
เรายังไม่เคยเห็นสถานการณ์ "จีนเทขายทั้งหมดพรวดเดียว" เป๊ะๆ แต่ก็มีเหตุการณ์ในอดีตที่พอจะให้บทเรียนได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ถือครองรายใหญ่ลดการถือครองหนี้สหรัฐฯ
ปี 2015–2016 (วิกฤตค่าเงินหยวนของจีน)
ตอนกลางปี 2015 จีนลดค่าเงินหยวนเล็กน้อย ทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกและกดดันค่าเงินหยวน เพื่อหยุดการร่วงลงของค่าเงิน ธนาคารกลางจีนจึงได้ขายเงินสำรองฯ ออกมาจำนวนมาก รวมถึงพันธบัตรสหรัฐฯ หลายแสนล้านดอลลาร์
ในช่วงเวลาประมาณหนึ่งปี จีนลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ลงอย่างฮวบฮาบ แต่ผลกระทบต่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ ค่อนข้างน้อยค่ะ
ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ไม่ได้พุ่งกระฉูด จริงๆ แล้วบางช่วงกลับลดลงด้วยซ้ำ เพราะนักลงทุนทั่วโลกหันมาหาสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าการขายของจีนตอนนั้นน่าจะแค่ "พยุง" ไม่ให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่ำลงไปกว่านั้นอีกในช่วงที่ตลาดหุ้นตก แต่ไม่ได้ทำให้ตลาดพันธบัตรพัง บทเรียนครั้งนั้นทำให้จีนรู้ว่าการขายเร็วเกินไปอาจทำให้เงินสำรองฯ ร่อยหรอ (ว่ากันว่าจีนใช้เงินสำรองฯ ไปเกือบ $1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงนั้น) และหลังจากนั้นก็ระมัดระวังมากขึ้น
ปี 2018 (รัสเซียถอนตัวและความกังวลสงครามการค้า)
รัสเซียซึ่งเคยถือพันธบัตรสหรัฐฯ จำนวนมาก (แต่น้อยกว่าจีนเยอะ) ได้เทขายหนี้สหรัฐฯ ออกไปประมาณ $80,000–$90,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ
นี่เป็นการลดการถือครองที่รุนแรงมาก (กว่า 80% ของที่ถืออยู่) ในเวลาอันสั้น แต่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ก็รับมือได้สบายๆ เงิน $80,000 ล้านดอลลาร์ถูกดูดซับไปอย่างง่ายดาย และไม่มีผลกระทบให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างถาวรจากเรื่องนี้
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน (2018-2019) ก็มีความกลัวว่าจีนอาจใช้การถือครองพันธบัตรเป็นอาวุธในช่วงสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน มีบางครั้งที่ข่าวลือเรื่องจีนขายพันธบัตรทำให้ดอกเบี้ยกระตุกขึ้นระยะสั้นๆ หรือตลาดกังวล แต่สุดท้ายก็กลับมามีเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว
เทียบเคียงประวัติศาสตร์ – กรณีเงินปอนด์ของอังกฤษ
บางคนเปรียบเทียบกับวิกฤตค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลายประเทศถือเงินปอนด์เป็นเงินสำรองฯ (เพราะอังกฤษเคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ)
พอประเทศเหล่านั้นตัดสินใจเทขายเงินปอนด์ทิ้ง อังกฤษก็เผชิญกับวิกฤตค่าเงิน เงินปอนด์ร่วงและดอกเบี้ยพุ่งสูง สร้างความเจ็บปวดให้เศรษฐกิจอังกฤษอย่างมาก
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบันก็อยู่ในสถานะคล้ายๆ กันคือเป็นสกุลเงินสำรองหลัก ถ้าหลายประเทศใหญ่ๆ (ไม่ใช่แค่จีน) พร้อมใจกันหมดศรัทธาในเงินดอลลาร์แล้วเทขายทิ้ง สหรัฐฯ ก็อาจเจอกับวิกฤตจริงๆ ได้
แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ต่างออกไปในแง่ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใหญ่และยืดหยุ่นกว่า และนักลงทุนทั่วโลกก็มีทางเลือกอื่นที่เทียบเท่าดอลลาร์สหรัฐฯ ได้น้อยมาก
นอกจากนี้ ไม่มีประเทศไหนประเทศเดียวที่ถือหนี้สหรัฐฯ มากพอจะล่มระบบได้ และที่สำคัญคือ ยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีกลุ่มประเทศใหญ่ๆ รวมตัวกันเทขายดอลลาร์พร้อมกัน แม้ในช่วงที่จีนค่อยๆ ลดการถือครองในทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่นและยุโรปกลับเพิ่มการถือครอง หรือนักลงทุนสหรัฐฯ เองก็ซื้อเพิ่ม ทำให้ความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง
โดยรวมแล้ว บทเรียนจากอดีตชี้ว่า การทยอยขายออกไป ตลาดสามารถจัดการได้ ส่วนการเทขายพรวดเดียวครั้งใหญ่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่กรณีที่ใกล้เคียงที่สุด (เช่น ปี 2015) บอกเราว่า แม้จะมีความปั่นป่วน แต่มันอาจจะไม่ถึงขั้นหายนะ ถ้าผู้เล่นรายอื่นเข้ามาจัดการอย่างรอบคอบ
ผลกระทบต่อจีนเอง: ทำไม "ไพ่ตาย" อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง?
นี่คือประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจเลยค่ะ ถ้าจีนตัดสินใจใช้ "อาวุธพันธบัตร" นี้ จีนเองก็จะเจ็บตัวอย่างหนักหนาสาหัสไปด้วย
ทำไมการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ถึงอาจส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของจีนเอง?
ขาดทุนทางการเงิน: การเทขายพันธบัตรจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว จะกดดันให้ราคาพันธบัตรที่ตัวเองถืออยู่ตกต่ำลง เหมือนกับ "ยิงปืนใส่เท้าตัวเอง" จีนจะต้องยอมขายในราคาที่ถูกลง ซึ่งหมายถึงการขาดทุนจริงๆ จากพอร์ตการลงทุนที่ถืออยู่
ยิ่งไปกว่านั้น แค่มีสัญญาณว่าจีนกำลังเทขาย ก็อาจสร้างความตื่นตระหนกที่ "เผามูลค่าสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่จีนยังถืออยู่" ได้เลย พูดง่ายๆ คือ ยิ่งขายเยอะ พันธบัตรที่เหลืออยู่ในมือก็ยิ่งมีมูลค่าน้อยลง นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จีนต้องคิดหนัก มันเหมือนกับการพยายามทำร้ายคู่ค้าด้วยการเผาเงินกองโตของตัวเองทิ้งนั่นแหละค่ะ
ผลกระทบต่อค่าเงิน: ถ้าจีนขายพันธบัตร ก็จะได้เงินสด (ดอลลาร์สหรัฐฯ) กลับมาเป็นกอง แล้วจะเอาเงินดอลลาร์เหล่านี้ไปทำอะไร? ทางเลือกหนึ่งคือแลกกลับเป็นเงินหยวน (เพื่อนำมาใช้ในประเทศ) แต่การขายดอลลาร์จำนวนมหาศาลเพื่อซื้อหยวน จะทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ซึ่งเงินหยวนที่แข็งค่าปรี๊ดจะทำให้สินค้าส่งออกของจีนแพงขึ้นมากในตลาดโลก ซึ่งอาจเป็นการทำลายเสาหลักอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจจีนเลยทีเดียว แม้จีนจะไม่แลกเป็นหยวน
แต่แค่ถือดอลลาร์ไว้เฉยๆ หรือนำไปซื้ออย่างอื่น ก็ยังเจอปัญหาอยู่ดี เช่น อาจจะพยายามนำดอลลาร์ไปซื้อเงินยูโรหรือเยน เพื่อซื้อพันธบัตรยุโรปหรือญี่ปุ่น แต่การย้ายเงินก้อนใหญ่มหึมาไปสกุลเงินอื่น ก็มีแนวโน้มจะดันให้สกุลเงินเหล่านั้นแข็งค่าขึ้น (และดอลลาร์อ่อนค่าลง)
ซึ่งค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงมาก (และหยวนแข็งค่าขึ้น) เป็นสิ่งที่จีนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับการส่งออกของตัวเองเลย เนื่องจากปักกิ่งใช้เวลาหลายปีในการพยายามไม่ให้เงินหยวนแข็งค่าเร็วเกินไป การเทขายพันธบัตรครั้งใหญ่จะบ่อนทำลายนโยบายนั้น ทำให้หยวนแข็งค่าและกระทบดุลการค้าของจีนในที่สุด
หาที่ลงทุนใหม่ได้ยาก: สมมติว่าจีนไม่นำเงินกลับประเทศเลย แต่อยากจะนำเงินดอลลาร์ที่ได้ไปลงทุนที่อื่นแทน เช่น พันธบัตรรัฐบาลยุโรปหรือญี่ปุ่น ทองคำ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ปัญหาก็คือ ไม่มีตลาดไหนใหญ่พอที่จะดูดซับเงิน $1 ล้านล้านดอลลาร์ ได้ง่ายๆ
การนำเงินขนาดนั้นไปซื้อพันธบัตรในยุโรปหรือญี่ปุ่น มีแนวโน้มจะกดดอกเบี้ยของประเทศเหล่านั้นให้ติดลบ และอาจทำให้รัฐบาลเขาไม่พอใจ (คงไม่มีใครอยากให้มหาอำนาจต่างชาติมาถือหนี้ของตัวเองเยอะขนาดนั้นในทันที)
ส่วนตลาดทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ก็เล็กเกินไปที่จะรับเงินก้อนใหญ่นี้ได้โดยไม่ทำให้ราคาบิดเบือนไปอย่างรุนแรง
สรุปคือ จีนจะหาที่ไปใหม่ให้เงินก้อนนี้ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายเท่าพันธบัตรสหรัฐฯ ได้ยากมาก ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมแม้จะพูดเรื่องการกระจายความเสี่ยง แต่พันธบัตรสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ในเงินสำรองฯ ของจีน เพราะมันแทบไม่มีทางเลือกอื่นที่มีขนาดและความปลอดภัยในระดับเดียวกันเลย
ความปั่นป่วนในตลาดโลกย้อนกลับมา: การเทขายพันธบัตรของจีนอาจจุดชนวนความโกลาหลในตลาดการเงินโลก ไม่ใช่แค่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ แต่อาจลามไปถึงตลาดหุ้นที่ร่วงระนาว ภาวะสินเชื่อตึงตัว หรือผลกระทบอื่นๆ ที่คาดไม่ถึง
ซึ่งความไม่แน่นอนแบบนี้จะไม่ละเว้นจีนเช่นกัน เช่น ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทั่วโลกดิ่งเหวเพราะดอกเบี้ยพุ่ง ความต้องการสินค้าส่งออกของจีนจากต่างประเทศอาจลดลง การลงทุนจากต่างชาติในจีนอาจหดตัว และธนาคารทั่วโลก (รวมถึงธนาคารจีนเอง) อาจเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
แม้ว่าจีนจะถือเงินสำรองฯ กว่า $3 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นกันชนยามเกิดวิกฤต จีนคงไม่อยากก่อวิกฤตที่บีบให้ตัวเองต้องนำเงินสำรองฯ นั้นออกมาใช้หรอกค่ะ โดยพื้นฐานแล้ว "สงคราม" การเงินอาจสะท้อนกลับมาทำร้ายการเติบโตและเสถียรภาพของจีนเอง
ต้นทุนทางการเมืองและชื่อเสียง: การตัดสินใจเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ จะถูกมองว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงในทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระตุ้นให้สหรัฐฯ (และพันธมิตร) ตอบโต้อย่างรุนแรง ตั้งแต่การตอบโต้ทางการทูตไปจนถึงการควบคุมเงินทุน หรือแม้กระทั่งการอายัดทรัพย์สิน
นอกจากนี้ยังอาจทำให้คู่ค้าทางเศรษฐกิจรายอื่นๆ ของจีนหวาดระแวง มองว่าจีนยอมที่จะทำลายเสถียรภาพตลาดเพื่อการเมือง ซึ่งอาจผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติถอยห่างจากจีน หรือเร่งให้ประเทศอื่นๆ พยายามลดการพึ่งพาการผลิตและการค้าจากจีนมากขึ้น
ดังนั้นในระยะยาว การใช้สถานะเจ้าหนี้เป็นอาวุธอาจบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือทางการเงินของจีนเอง
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าจีนจะ "เจ็บตัวมากกว่า" ถ้าเลือกที่จะเทขายหนี้สหรัฐฯ อย่างรุนแรง และดังนั้นจึง "ไม่น่าจะทำ" ยกเว้นในสถานการณ์ที่เลวร้ายจริงๆ
อย่างที่นักวิจารณ์การเงินคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า แม้จีนอยากจะทำร้ายสหรัฐฯ ด้วยการขายพันธบัตร การจัดการขายล็อตใหญ่ๆ แบบเงียบๆ นั้นทำได้ยากมาก และเมื่อตลาดเริ่มรู้ทัน ความตื่นตระหนกอาจเกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลเสียต่อเงินสำรองฯ ที่เหลืออยู่และการส่งออกของจีนเอง ซึ่งมันจะเป็นการกระทำที่ทำร้ายตัวเองโดยแท้
บทสรุป: สมดุลแห่งความกลัวทางการเงิน
โดยสรุปแล้ว การที่จีนเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งหมดจะสร้างความเจ็บปวดให้สหรัฐฯ ในระยะสั้นก็จริง แต่ก็จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมีนัยสำคัญให้กับจีนเองด้วย และระบบการเงินโลกก็มีกลไกป้องกันตัวเองอยู่
เราน่าจะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นและความผันผวนในตลาดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงแรก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ต้นทุนกู้ยืมสูงขึ้น นักลงทุนไม่มั่นใจ)
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ สามารถตอบโต้ด้วยการแทรกแซงอย่างหนักจากเฟด และในที่สุดก็จะมีผู้ซื้อรายอื่นเข้ามาซื้อพันธบัตรที่ราคาถูกลง (ดอกเบี้ยสูงขึ้น) เงินดอลลาร์ที่จีนขายออกมาก็จะหาบ้านใหม่เจอ และตลาดก็จะกลับมามีเสถียรภาพหลังจากปรับตัวกับระดับอัตราดอกเบี้ยใหม่ได้
ในขณะเดียวกัน จีนก็จะเหลือแต่ค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น เงินสดกองโตที่หาที่ลงทุนได้ยาก และผลขาดทุนจากพอร์ตเงินสำรองฯ ซึ่งทั้งหมดนี้บ่อนทำลายเศรษฐกิจของตัวเอง
ความเปราะบางร่วมกันนี้เองคือเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่าการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ของจีนแบบฉับพลันนั้น "ไม่น่าจะเกิดขึ้น" มันมักถูกเปรียบเทียบกับแนวคิด "การทำลายล้างซึ่งกันและกัน" (Mutually Assured Destruction หรือ MAD) ในโลกการเงิน ซึ่งก็คือเป็นอาวุธที่ร้ายแรงเกินกว่าจะนำมาใช้จริง
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ คนปัจจุบัน (และเป็นนักลงทุนที่เก๋าเกม) ก็เพิ่งจะให้ความเห็นลดทอนอำนาจต่อรองของจีนในเรื่องนี้ โดยแย้งว่าแม้จะถือครองถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ "ไม่ได้ให้อำนาจต่อรองใดๆ เลย"
และในทางปฏิบัติ การกระทำของจีนที่ผ่านมาก็สนับสนุนแนวคิดนี้ แม้จะมีการขู่ผ่านสื่อของรัฐเป็นครั้งคราว แต่ปักกิ่งก็ไม่เคยใช้พันธบัตรเป็นอาวุธจริงๆ
ทำให้ดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักถึงจุดสมดุลอันเปราะบางที่ตัวเองอยู่ เป็นสมดุลที่ไม่สบายใจนัก แต่การที่จีนยังคงถือหนี้สหรัฐฯ อยู่ก็ยังดีกว่าความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สำหรับคุณผู้อ่านทั่วไป สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ แม้ว่าการที่จีนขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทั้งหมดจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องวันสิ้นโลก สหรัฐฯ จะเผชิญกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและความปั่นป่วนทางการเงินอยู่พักหนึ่ง แต่ก็จะฟื้นตัวได้ด้วยนโยบายและการช่วยเหลือจากนักลงทุนรายอื่น
ส่วนจีนเองก็จะพบว่าการกระทำนั้นโง่เขลาทางการเงินและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับตัวเอง ดังนั้น เส้นทางที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือ สถานะที่เป็นอยู่ คือการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป การพึ่งพาอาศัยกันต่อไป และหลีกเลี่ยงการระเบิดระบบทิ้ง
ในโลกที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนตึงเครียด ความเชื่อมโยงทางการเงินผ่านพันธบัตรนี้กลับเป็นปัจจัยที่สร้างเสถียรภาพอย่างหนึ่ง การที่จีนให้สหรัฐฯ กู้เงินจำนวนมากผูกมัดเศรษฐกิจทั้งสองเข้าด้วยกัน ในรูปแบบที่ "วิน-วิน" ซึ่งช่วยให้ชาวอเมริกันได้เพลิดเพลินกับต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำ และจีนสามารถหนุนเครื่องจักรการส่งออกของตนได้
การคลายปมความสัมพันธ์ที่พึ่งพากันนี้อย่างกะทันหันจะเป็นอันตรายต่อทั้งคู่ ดังนั้น แม้การคิดถึงสถานการณ์ "what if" จะเป็นเรื่องที่ควรทำเสมอ แต่ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จีนน่าจะยังคงถือครองหนี้ของอเมริกาไว้เป็นจำนวนมากต่อไป
ไม่ใช่เพราะความรักหรือความใจบุญ แต่เพราะโดยรวมแล้ว มันเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับทั้งสองประเทศนั่นเองค่ะ
หวังว่าวันนี้ทุกคนจะเข้าใจเรื่องซับซ้อนนี้ได้ง่ายขึ้นนะคะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. Facebook Beauty Investor