ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์หุ้น “เครือซีพี”

โดย dave
เผยแพร่ :
84 views

วิเคราะห์หุ้น “เครือซีพี” ปี 63 กวาดรายได้เกือบ 1.5 ล้านล้านบาท

"เครือเจริญโภคภัณฑ์" หรือ CP ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่อันดับต้นๆของประเทศไทย มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการโดยสามารถแบ่งประเภท ธุรกิจออกเป็น 8 สายธุรกิจหลัก ครอบคลุม 13 กลุ่มธุรกิจย่อย โดยล่าสุดก็มีข่าวปิดดีลครั้งยิ่งใหญ่อย่างการเข้าซื้อกิจการของ Tesco Lotus


ทั้งธุรกิจของ CP ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีจำนวน 4 หลักทรัพย์ และยังมีกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF  บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO


ดังนั้นครั้งนี้ทีมข่าว Wealthy Thai จึงได้รวบรวมข้อมูลของหุ้นกลุ่มซีพีมาฝากนักลงทุน ซึ่งจะมีความน่าสนใจหรือไม่ภายใต้แรงกดดันจากการระบาดของ COVID-19 เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลย เริ่มจากหุ้นมหาชนที่ถูดพูดถึงในวงกว้างมากที่สุดอย่าง CPALL ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2531 บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven โดยได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Right) จาก 7-Eleven, Inc. ให้ประกอบธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า “7-Eleven” ในประเทศไทย ภายใต้สัญญา Area License Agreement ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2531 และได้เปิดร้านสาขาแรกที่ซอยพัฒน์พงษ์

 

คนละครึ่งกระทบต่อ CPALL

“ถึงแม้เราจะยังคงมองว่าผลประกอบการของ CPALL จะฟื้นตัวได้ แต่อัตราการฟื้นตัวจะช้ากว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม (คาดว่ากำไรของ CPALL จะโตแค่ 5% YoY ในขณะที่ของหุ้นอื่นในกลุ่มจะโตเฉลี่ยที่ 18% YoY) และเรามองว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยหนุนให้กำไรของ CPALL โตอย่างมีนัยสำคัญ เราคาดว่าจังหวะที่ดีที่จะกลับมาดูหุ้น CPALL ใหม่คือช่วงครึ่งหลังของปี 64 จึงยังคงคำแนะนำถือ CPALL แต่ปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2564 ลงจากเดิม 67.00 บาท เหลือ 62.00 บาท” นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

พร้อมยังบอกอีกว่า เราคาดกำไรสุทธิของ CPALL ในไตรมาส 4/63 จะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท (-25% YoY, +16% QoQ) ซึ่งทำให้กำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท (-23% YoY) โดยกำไรไตรมาส 4/63 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.ข้อจำกัดในการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2. ผู้บริโภคจับจ่ายอย่างระมัดระวังในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และ 3.แคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล (คนละครึ่ง) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าจากร้านในท้องถิ่นมากขึ้น


ดังนั้น เราจึงคาดว่า SSSG ในไตรมาส 4/63 จะติดลบถึง -16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (จาก 0% ใน 4Q62 และ -14.3% ใน 3Q63) ทำให้ SSSG เฉลี่ยปี 2563 อยู่ที่ -14% จากปีก่อน ในขณะเดียวกัน เราคาดว่ากำไรจะดีขึ้นจากไตรมาส 3/2563 เนื่องจากผลของปัจจัยฤดูกาล เราเชื่อว่า CPALL จะเดินหน้าขยายสาขาใหม่ให้ได้ตามเป้า 700 สาขาในปี 2563 หลังจากที่ขยายสาขาใหม่ไปแล้ว ~500 สาขาในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งหมายความว่าบริษัทน่าจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 200 สาขาในไตรมาส 4/2563


ส่วนแนวโน้มปี 2564 น่าจะยังฟื้นตัวได้ แต่ในอัตราที่ช้าลงเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง โดยยังคงมองว่าผลประกอบการของ CPALL จะฟื้นตัว แต่ฟื้นในอัตราที่ช้าลงเพราะการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในประเทศไทย ซึ่งทำให้มีการปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ลง (จากเดิม 14 ล้านคน เหลือแค่ 8 ล้านคน)


ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง เราจึงคาดว่า SSSG ของ CPALL จะถูกกดดันหนักขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งปีแรกของปี 64 ดังนั้น เราจึงปรับลดสมมติฐาน SSSG ปี 2563-64 ของเราลง 1-2% ซึ่งทำให้เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-65 ลง 3-7% เรายังคงคาดว่ากำไรในปีนี้จะฟื้นตัว แต่จะฟื้นในอัตราที่ต่ำเพียงแค่ 5% YoY ก่อนที่จะกลับมาโตอย่างมีนัยสำคัญที่ 20% ในปี 2565

 

โดยประเมินปี 2563 จะมีรายได้ 528,469 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีรายได้ 550,901 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิคาดอยู่ที่ 17,234 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 22,343 ล้านบาท ส่วนปี 2564 คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตมาอยู่ที่ 566,294 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ 18,044 ล้านบาท

 

CPF ราคาหมูเติบโตโดดเด่น

ขณะที่ CPF ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่จำแนกธุรกิจหลักตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ 2. ธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ (Farm) ได้แก่ การเพาะพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า และการแปรรูปเนื้อสัตว์ขั้นพื้นฐาน 3. ธุรกิจอาหาร (Food) ได้แก่ การผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปกึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารพร้อมรับประทาน รวมถึงกิจการค้าปลีกอาหารและร้านอาหาร

 

 เราปรับเพิ่มประมาณการสะท้อนการลงทุนใน CTI และเทสโก้ แม้ฐานสูงในปีก่อน แต่คาดว่ากำไรปกติปีนี้จะเติบโตเป็น New high ได้อีก เนื่องจาก CPF มีการเพิ่มปริมาณเลี้ยงหมูทั้งในไทย เวียดนาม และจีน อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจาก CTI ขณะที่ราคาหมูยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดีจาก Supply ที่ยังขาดแคลน ผลประกอบการไตรมาส 4/63 คาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่ง แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย (SOTP) ปรับขึ้นจาก 39 บาท เป็น 44.50 บาท”นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

 

พร้อมยังบอกอีกว่า  คาดว่ากำไรปกติไตรมาส 4/63 ลดลง 34%จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นโลว์ซีซั่น แต่กำไรยังเติบโตเป็น 4,764 ล้านบาท หรือเติบโต 16%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาหมูทั้งในไทยและเวียดนามเพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะเพิ่มขึ้น 244 bpsจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 18.1% อีกทั้งคาดว่าส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลงทุนใน CTI ส่วนการซื้อเทสโก้คาดว่ามีผลกระทบจำกัด


นอกจากนั้น คาด CPF บันทึกกำไรพิเศษ 2,400 ล้านบาทจากการลงทุนใน CTI ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 4/63 เพิ่มเป็น 7,169 ล้านบาท เติบโต 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เราคาดเงินปันผล 2H63 เท่ากับ 0.45 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปี 1.6%

 

ดังนั้นจึงประเมินว่าภาพรวมทั้งปี 2563 จะรายงานกำไรสุทธิ 26,783 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 18,456 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีรายได้รวม 589,277 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีรายได้ 532,573 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่าจะมีรายได้ 488,333 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดอยู่ที่ระดับ 25,353 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 แต่กำไรปกติคาดอยู่ที่ 24,353 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 ที่มีกำไรปกติ 23,283 ล้านบาท

 

โดย แนวโน้มกำไรปีนี้เติบโตจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากการขยายการเลี้ยงหมูในไทยและเวียดนามรวมเพิ่มขึ้น 16% เป็น 13 ล้านตัว/ปี อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีจาก CTI ซึ่งเพิ่มการเลี้ยง 33% เป็น 6 ล้านตัว/ปี แม้จำนวนหมูเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าราคาหมูยังอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจาก Supply ที่ยังขาดแคลนจากการระบาดของโรค ASF ส่วนการลงทุนในเทสโก้คาดว่ามีผลกระทบจำกัด

 

MAKRO ได้ดีเพราะกักตุน

ต่อมา MAKRO ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบขายส่งในระบบสมาชิก ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” บริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายจำนวนสาขาเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าสมาชิกและผู้ประกอบการ ทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มผู้ค้าปลีกรายย่อย กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจจัดเลี้ยง รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจบริการ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ หรือสถาบันการศึกษาและธุรกิจอื่น ๆ

 

“ถึงแม้ว่าการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวช้าจะกดดันภาวะเศรษฐกิจ และเราคาดว่าการบริโภคในประเทศจะฟื้นตัวในอัตราที่ช้าลง แต่เราคาดว่ากำไรของ MAKRO ในปี 2564 จะยังโตได้ 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าของ CPALL ซึ่งเราคาดว่าจะโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานลูกค้ากระจายตัวดี บวกกับได้อานิสงส์ทางอ้อมจากแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล ดังนั้น เพื่อสะท้อนถึงจุดแข็งของบริษัทและแนวโน้มการฟื้นตัว เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2564 เป็น 45.00 บาท จากเดิม 44.00 บาท และปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็น ซื้อ”นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

พร้อมยังบอกอีกว่า เราคาดกำไรสุทธิของ MAKRO ในไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท ลดลง 10%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท เติบโต 1% จากปีก่อน เป็นไปตามประมาณการปีนี้ของเรา ขณะที่รายได้รวมคาดอยู่ที่ 212,452 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 206,180 ล้านบาท


ถึงแม้ว่า SSSG ของ MAKRO ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนจะแข็งแกร่ง (ประมาณ +3%) แต่เราคาดว่าจะถูกหักล้างไปบางส่วนด้วย SSSG ที่อ่อนแอในเดือนธันวาคม ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นช่วง peak ตามฤดูกาล (เทศกาลวันหยุด การฉลองปีใหม่ของบริษัท การเดินทางช่วงเทศกาล และวันหยุดยาว) ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงจาก 10.3 ล้านคนในไตรมาส 4/62 เหลือเกือบศูนย์ในไตรมาส 4/63 ดังนั้นเราจึงคาดว่า  SSSG นไตรมาส 4/63 จะอยู่ที่ +1.0% ฉุดให้ SSSG ในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ +2% (เป็นไปตามสมมติฐานในปัจจุบันของเรา)  


ทั้งนี้ เนื่องจากผู้บริโภคจับจ่ายอย่างระมัดระวังในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน ไตรมาส 4/63 จะอยู่ที่ 10.8% (-0.2ppts YoY, +0.2ppts QoQ) โดยเราไม่คิดว่า MAKRO จะเปิดสาขาใหม่ในไตรมาส 4/63 โดยจำนวนสาขารวมจึงอยู่ที่ 144 สาขา (137 สาขาในประเทศไทย และ 7 สาขาในต่างประเทศ)

 

ส่วนปี 2564 คาดมีกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ 6,748 ล้านบาท และมีรายได้รวมเติบโตมาอยู่ที่ 225,687 ล้านบาท โดยแนวโน้มปี 2564 การกระจายฐานลูกค้าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวช้า  ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์กลุ่มโรงแรมของเราจะปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2564 จากเดิม 14 ล้านคนเหลือแค่ 8 ล้านคน แต่เราคาดว่า MAKRO จะบรรเทาผลกระทบไปได้บางส่วนจากฐานลูกค้าที่กระจายตัว

 

นอกจากนี้ บริษัทยังจะได้อานิสงส์จากการที่ลูกค้าตุนสต็อกในไตรมาส 2/63 ซึ่งทำให้สัดส่วนของลูกค้าอื่น ๆ เพิ่มขึ้น (ลูกค้ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นสมาชิก MAKRO) จากประมาณ 29% ในปี 2562 เป็นประมาณ 32% ในไตรมาส 3/63 ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากลูกค้ากลุ่ม HORECA ที่ลดลง (เป็นประมาณ 28% ใน 3Q63)


รวมทั้งยังคาดว่า MAKRO จะได้อานิสงส์ทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล (คนละครึ่ง) เฟสที่ 2 ซึ่งเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2564 และเราคาดว่าน่าจะยังขยายต่อไปอีกเฟสรวมถึงแคมเปญล่าสุด "ไทยชนะ" ด้วย เรายังคงประมาณการกำไรปี 2564 เอาไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท  (+8% YoY) และปี 2565 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+14% YoY)

 

TRUE ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 100%

และสุดท้ายธุรกิจ การสื่อสารและโทรคมนาคม TRUE โดยธุรกิจหลักของกลุ่มทรู ประกอบด้วยทรูมูฟ เอช, ทรูออนไลน์, ทรูวิชั่นส์ และทรูดิจิทัลกรุ๊ป รวบรวมบริการด้านดิจิทัล โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า ขณะนี้ยังคงราคาเป้าหมายของ TRUE เอาไว้ที่ 3.40 บาท เรายังคงคำแนะนำ ขาย เนื่องจากคาดว่าบริษัทจะยังมีผลขาดทุนหลักต่อเนื่องไปอีกในปี 2564-65 ในขณะที่สถานะทางการเงินก็ยังคงอ่อนแอ


โดยคาดว่า TRUE จะมีผลขาดทุนหลัก 1 พันล้านบาทในไตรมาส 4/63 ดีขึ้นเล็กน้อยจากที่ขาดทุน 1.1 พันล้านบาทในไตรมาส 3/63 แต่แย่ลงจากที่ขาดทุน 587 ล้านบาทในไตรมาส 4/62 โดยผลขาดทุนที่ลดลงจากไตรมาสก่อน เป็นเพราะรายได้เพิ่มเป็น 3.73 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน  เนื่องจากคาดจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากทั้งบริการบรอดแบนด์ และบริการทีวีแบบบอกรับเป็นสมาชิก บวกกับยอดขายเครื่องมือถือก็เพิ่มขึ้น


รวมทั้งคาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง  2% จากไตรมาสก่อน หลังจากที่บริษัทเปลี่ยนจากการทำการตลาดบนสื่อหลัก มาเป็นการใช้สื่อเฉพาะกลุ่มผ่านโฆษณาดิจิตอล และการส่งเสริมการขายผ่านทางโทรศัพท์ (telesales) แทน ส่วนผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นเพราะ) รายได้ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจทีวีชะลอตัวลง (True Vision) และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

โดยภาพรวมทั้งปี 2563 คาดรายได้รวมอยู่ที่ 137,587 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีรายได้ 140,943 ล้านบาท และคาดจะมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิสูงถึง 5,637 ล้านบาท และหากผลขาดทุนหลักในไตรมาส 4/63 เป็นไปตามที่เราคาดไว้ จะทำให้ผลขาดทุนหลักโดยรวมในปี 2563 อยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท ซึ่งจะดีกว่าประมาณการทั้งปี 2563 ของเราราว 3% ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการผลขาดทุนหลักสำหรับปี 2563 เอาไว้ที่ 3.9 พันล้านบาท

 

ขณะที่ปี 2564 คาดว่าจะมีรายได้ 141,775  ล้านบาท โดยถึงแม้เราจะคาดว่า TRUE จะขาดทุนหลักน้อยลงเหลือ 2.2 พันล้านบาท แต่สถานะทางการเงินจะยังคงอ่อนแอเพราะเราคาดว่าหนี้สินสุทธิต่อทุนของ TRUE จะยังอยู่ในระดับสูงที่ 2.4 เท่า เนื่องจากมียอดหนี้มีดอกเบี้ยสูงในขณะที่ส่วนทุนจะลดลงตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“จากการรวบรวมทั้ง 4 หลักทรัพย์ของทีมข่าว Wealthy Thai พบว่ามีเพียง TRUE เท่านั้นที่ผลประกอบการอ่อนแอกว่าทุกตัวของเครือซีพี ส่งผลให้นักวิเคราะห์ยังแนะนำขาย และหากเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ระบุดังกล่าวจะมีเพียงแค่ CPF เท่านั้นที่กำไรเติบโตอย่างโดดเด่น แต่เป็นการเติบโตจากการบันทึกกำไรพิเศษ 2,400 ล้านบาท จากการลงทุนใน CTI แต่ถ้าไปดูรายได้ทั้ง 4 หลักทรัพย์นั้นรวมกันแล้วจะมีรายได้ปี 2563 รวมกันทั้งสิ้น 1.47 ล้านล้านบาท”

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave