ห้องเม่าปีกเหล็ก

รู้จักกับเซอร์ จอห์น เทมเพิลตัน นักเจาะหุ้นเน้นคุณค่าทั่วโลกผู้ยิ่งใหญ่

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
54 views

เซอร์ จอห์น เทมเพิลตัน นักลงทุนเน้นคุณค่าในยุคแรกๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของเบนจามิน เกรเฮม เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในการบริหารเงิน บริหารกองทุน ได้รับการยกย่องว่าเป็น "Sir" (ยศถาบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากับ อัศวิน) เขาเสียชีวิตอย่างสงบในปี 2008 เมื่อเขามีอายุได้ 95 ปี

เทมเพิลตันเกิดในปี 1912 ในเมืองเล็กๆที่เงียบสงบอย่างวินเชสเตอร์ รัฐเทนเนสซี่ สหรัฐอเมริกา เขาเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งครัดในศาสนาอย่างมาก ช่วงชีวิตวัยเด็กเขาค่อนข้างสะดวกสบาย มีเงินใช้ ทำให้เขาทุ่มเทให้กับการเรียน เทมเพิลตันเป็นเด็กตั้งใจเรียนและเรียนเก่ง เขามักจะได้เกรด A อยู่เสมอ เขาเลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล และเริ่มศึกษาทางด้านการลงทุนอย่างจริงจัง กิจกรรมยามว่างของเขาคือการเล่นไพ่โป๊กเกอร์

ต่อมา อเมริกาเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถ่อย ที่เรียกว่า "The Great Depression" ทำให้พ่อของเขามีปัญหาทางการเงินไม่สามารถส่งเขาเรียนต่อ เทมเพิลตันจึงต้องขยันเรียนมากขึ้นเพื่อให้ได้ทุนมาจ่ายค่าเล่าเรียนต่อให้จบ สุดท้ายเขาจบปริญญาโททางด้านกฏหมาย มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด

แม้จะเจอกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ แต่จอห์น เทมเพิลตันก็ยังมุ่งมั่นกับการลงทุนด้วยการค้นหาหุ้น Undervalue ตลอดเวลา ว่ากันว่าเวลานั้นเขาซื้อหุ้นมากกว่า 100 บริษัทในพอร์ตการลงทุน ถึงแม้จะมีเพียง 34 บริษัทที่ล้มละลายและราคาหุ้นเหลือ 0 แต่จอห์นก็ยังทำกำไรได้อย่างงดงาม หลังจากเรียนจบเขาใช้ชีวิตไปกับการท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เขาพยายามมองสิ่งต่างๆเป็นเรื่องของการลงทุน เขาได้ศึกษาธุรกิจของประเทศต่างๆ ตลอดจนเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมของประเทศเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง เทมเพิลตันเชื่อว่า การจะเข้าใจในบริษัทหนึ่งๆ อย่างถ่องแท้ คุณต้องเข้าใจบริษัทคู่แข่งด้วย

หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย เทมเพิลตันเลือกสายงามเป็นที่ปรึกษาทางการลงทุน และในปี 1940 เขาก็ลงทุนเปิดบริษัทบริหารเงินของตนเอง และจัดตั้งกองทุน Templeton Growth Fund หรือ TGF โดยเริ่มต้นด้วยเงิน 7 ล้านเหรียญ ในปี 1954 หลังจากผ่านมา 40 ปี ในปี 1992 สินทรัพย์ของ TGF มีมูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านเหรียญ พอถึงปี 1997 TGF มีสินทรัพย์ถึง 80,000 ล้านเหรียญ มีผู้ถือหน่วยกว่า 4 ล้านคน มั่งคั่งจากสิ่งที่เขาทำและยกย่องว่าเขาคือบุคคลมหัศจรรย์

ต่อมาเขาได้รับสัญชาติเป็นชาวอังกฤษและตั้งยศเป็น "อัศวิน" ถือว่าเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุดที่มีน้อยคนนักที่จะได้รับ เซอร์จอห์น เทมเพิลตัน เสียชีวิตลงในปี 2008 ขณะอายุ 95 ปี มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ใครที่ลงทุนใน Templeton Growth Fund ด้วยเงิน 10,000 เหรียญ ในปี 1954 จนถึงวันที่เทมเพิลตันตาย เงินจำนวนนั้นจะเพิ่มมูลค่ากลายเป็น 7 ล้านเหรียญ เลยทีเดียว ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่เหลือเชื่อมากๆ


ที่มาภาพ : www.templeton.org

หลักการลงทุนของ เซอร์จอห์น เทมเพิลตัน
- วัตถุประสงค์หลักในการลงทุนระยะยาว คือการสร้างผลตอบแทนหลังหักภาษีให้สูงที่สุด

- เปิดใจให้กว้างตลอดเวลา อย่ายึดติดกับการลงทุนแบบเดิมๆ นักลงทุนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ที่สำคัญคือเปิดใจรับแนวคิดใหม่ๆอยู่เสมอ

- อย่าตามหลังมวลชน มีคำพูดหนึ่งที่เป็นปรัชญาของเขาเลยนั้นก็คือ "avoiding the herd" and "buy when there's blood in the streets" หลีกเลี่ยงฝูงชน และ จงซื้อเมื่อเลือดนองตลาด ... หากซื้อหุ้นตามคนหมู่มาก เราก็มักจะได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้น การซื้อหุ้นควรทำเมื่อคนส่วนใหญ่เกิดความกลัว และขายเมื่อคนส่วนใหญ่กำลังหึกเหิม การจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยความอดทนที่ยิ่งใหญ่ แต่รางวัลที่ได้รับก็มักจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

- ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตลาดที่ซบเซามักจะมีเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นจะเป็นตลาดขาขึ้น

- หลีกเลี่ยงหุ้นที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะนักลงทุนเหล่านั้นอาจกำลังเลือกหุ้นที่ผิดพลาดหรือผิดจังหวะเวลาก็เป็นได้

- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง

- ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวร้ายช่วงเวลาที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วย ข่าวร้ายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อ และช่วงที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวดีเป็นช่วงที่ควรขายที่สุด

- มองหาคุณค่าและราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าแล้ว ในตลาดหุ้นนั้นการที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกมากๆคือตอนที่นักลงทุนส่วน ใหญ่ขายหุ้นออกมา

- มองหาโอกาสทั่วโลก ถ้าเราสามารถหาโอกาสการลงทุนได้ทั่วโลกเราจะพบว่ามีหุ้นที่ถูกๆมากกว่าการลงทุนในประเทศเดียว

- นักลงทุนจะอยู่รอดในตลาดหุ้นได้จำเป็นจะต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

สี่ปัจจัยหลักในการพิจารณาลงทุน
- P/E ratio เทียบกับกลุ่มเดียวกันในอุตสาหกรรม และบริษัทคู่แข่งเป็นอย่างไร การลงทุนที่ดีไม่ควรมีค่า P/E ที่สูงเกินไป ยิ่งแพงนั้นหมายถึงนักลงทุนมีโอกาสขาดทุนสูง

- อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) มีการเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนในแต่ละปี โดยเฉพาะบริษัทที่ใช้เงินมากไปกับกิจกรรมการลงทุน ถ้ากำไรสุทธิไม่เพิ่ม นั้นแสดงว่าผู้บริหารอาจจะไม่มีศักยภาพมากพอ

- มูลค่าทางบัญชีของบริษัทเป็นอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นหรือไม่

- การเติบโต (Growth) ของรายได้และกำไรของบริษัทเป็นอย่างไร มีการเติบโตที่ดีหรือไม่ บริษัทขนาดเล็กที่มีการเติบโตเร็ว ไม่นานก็เร็วมันจะหยุดเติบโตและกลายเป็นบริษัทโตช้าเพื่อกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตามให้หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีการเติบโตลดลง 2 ปีซ้อน

------------------------------------------
เขียนโดย SiTh LoRd PaCk
ขอบคุณแหล่งที่มา : Wikipidia , Club VI , Forbes.com และ Investopedia.com


SiTh LoRd PaCk