ห้องเม่าปีกเหล็ก

วัดเส้าหลิน อุตสาหกรรมมูลค่าร้อยล้าน

โดย นักเดินทาง
เผยแพร่ :
23 views

วัดเส้าหลิน มากกว่าแค่กังฟูกำลังภายในแต่เป็นอุตสาหกรรมมูลค่าร้อยล้าน

ข่าวพระกับวัดนับว่าเป็นอะไรที่มีให้เห็นผ่านตากันอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ต่างประเทศนั้นก็นับว่าเป้นอะไรที่ใหญ่โตเพราะเกิดขึ้นในวัดชื่อดังระดับมรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่าง “วัดเส้าหลิน” ด้วย

ถ้าหากว่าเราจะพูดถึงวัดเส้าหลิน แน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยต่างนึกถึงกังฟูกัน ซึ่งเรื่องของกังฟูและศาสตร์ของกำลังภายในถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์ หนังสือ เป็นต้น ด้วยความที่เส้าหลินโด่งดังเรื่องกังฟู ทำให้กลายเป็นจุดขายสำคัญของวัด ตลอดจนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัดเส้าหลินกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้สำคัญของมณฑลเหอหนานในแง่ของอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ในสัปดาห์นี้ All About History จะขอพาย้อนกลับไปดูเรื่องราวของวัดเส้าหลินแห่งนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม ตลอดจนพาไปดูความสำคัญของวัดนี้ที่มีต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของเหอหนานกัน

 

-----

กำเนิดเส้าหลินโดยสังเขป

วัดเส้าหลิน หรือที่บางครั้งเรียกกันด้วยสำเนียงแต้จิ๋วว่าเสี่ยวลิ้มยี่ เป็นวัดเนื่องในศาสนาพุทธมหายานที่มีความเก่าแก่ไม่น้อยกว่า 1,500 ปี โดยมีที่ตั้งของวัดอยู่ที่ยอดเขาเส้าซื่อ ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซานในมณฑลเหอหนานนี่เอง

โดยวัดนี้สร้างขึ้นในสมัยไท่เหอ โดยมีพระพุทธภัทร พระสงฆ์เชื้อสายอิหร่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกซึ่งได้สร้างคุณูปการต่อศาสนาพุทธในจีนมากมายอย่างการเผยแผ่ศาสนาและแปลพระธรรมให้คนจีนสามารถเข้าใจได้ง่ายด้วย ทำให้วัดเส้าหลินเป็นวัดสำคัญที่มีบทบาทในการศึกษาและแปลพระคัมภีร์ต่าง ๆ

หลังจากวัดนี้สร้างขึ้นมาได้สักพักหนึ่ง ก็ได้มีพระภิกษุจากอินเดียนาม พระโพธิธรรมเถระ หรือที่เรารู้จักกันในนามของปรมาจารย์ตั๊กม้อ ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายเซน หรือนิกายฉาน ซึ่งตั๊กม้อก็ได้ชื่อว่าเป็นพระเถระคนสำคัญของนิกายนี้

ตั๊กม้อได้เล็งเห็นถึงภูมิประเทศที่ตั้งของวัดเส้าหลินซึ่งมีพื้นที่เป็นป่าที่มีความร่มรื่นแลสงบ เหมาะแก่การเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ตั๊กม้อจึงได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสและใช้วัดแห่งนี้ในการเผยแพร่แนวคิดทางด้านนิกายฉานด้วย ทำให้นิกายฉานของจีนเริ่มต้นที่วัดแห่งนี้ ต่อมาในสมัยราชวงศ์สุย วัดเส้าหลินได้รับการบำรุงและได้รับการนับถือจากองค์ฮ่องเต้ พระองค์พระราชทานพระราชทรัพย์ ตลอดจนที่ดินบางส่วนให้กับวัดทำให้วัดเส้าหลินในสมัยราชวงศ์สุยมั่งคั่งเป็นอย่างมาก

วัดเส้าหลินมีบทบาทสำคัญในช่วงราชวงศ์ถัง จากการที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยจักรพรรดิถังไท่จงในการต่อสู้กับราชวงศ์สุยและนำมาซึ่งการตั้งราชวงศ์ถังนี่เอง เส้าหลินจึงกลายมาเป็นวัดสำคัญที่พระราชวงศ์เสด็จมาบ่อยครั้งเพื่อทำบุญ ไปจนถึงการปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งเส้าหลินก็มีบทบาทต่อสังคม ราชวงศ์ และศาสนาพุทธในจีนเรื่อยมาหลายราชวงศ์ แม้แต่ในยุคที่กุบไลข่านปกครองจีน ก็ยังให้การทำนุบำรุง แต่งตั้งเจ้าอาวาสให้มาดำรงตำแหน่งและก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ มากมายในวัด

-----

จากการปฏิวัติวัฒนธรรม ถึงยุครุ่งเรืองแห่งอุตสาหกรรมวัฒนธรรม

จากยุคราชวงศ์จนถึงยุคหลังราชวงศ์ชิงล่มสลาย วัดเส้าหลินค่อนข้างเป็นวัดที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้หรือการสงครามบ่อยครั้งซึ่งมาจากการที่วัดเส้าหลินนั้นมีการฝึกกังฟูแก่พระในวัด อย่างไรก็ดี พอเข้าสู๋ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุง ซึ่งมีการปฏิเสธศาสนา ทำให้พระเส้าหลินจำนวนมากถูกกดดันให้สละเพศสมณะและหวนสู่เพศฆราวาส

ในช่วงนี้วัดถูกปล้นและถูกทำลายหลายระลอก ซึ่งต่อมาก็ถูกสร้างใหม่และขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติชาติ ก่อนที่จะกลายเป็นมรดกโลกในเวลาถัดมา ซึ่งในสมัยที่ซือ หย่งซิน (ที่เพิ่งถูกจับ) เป็นเจ้าอาวาสก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้วัดเส้าหลินกลายเป็นพุทธพาณิชย์ขึ้นมาผ่านการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปิดสอนกังฟู และมีสาขาวัดเส้าหลินอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก

วัดเส้าหลินจึงเป็นวัดที่มีมูลค่าและบทบาทในเศรษฐกิจของมณฑลเหอหนานสูงมากในด้านของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเรื่อยมาภายใต้การปกครองของหลวงจีนซื่อ หย่งซินนี่เอง

-----

เป็นพระแล้วทำไมต้องฝึกยุทธ์?

บางท่านอาจจะสงสัย เป็นพระแล้วทำไมต้องฝึกวิทยายุทธ์? เรื่องความเป็นมาของวิทยายุทธ์เส้าหลินนั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายเรื่องราว

ประการหนึ่งมีผู้ศึกษาและให้ความเห็นว่าการฝึกยุทธ์ของเส้าหลินนั้นเป็นไปเพื่อการป้องกันตัวจากสัตว์ร้าย ซึ่งมาจากสภาพแวดล้อมของเส้าหลินในอดีตที่ตั้งอยู่บนเขาท่ามกลางพงไพร โดยเป็นความเชื่อต่อ ๆ กันมาว่าตั๊กม้อเป็นผู้บุกเบิก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีหลักฐานแน่ชัดนัก

การที่บอกว่าตั๊กม้อนั้นเป็นผู้ให้กำเนิดกังฟูเส้าหลิน เป็นอะไรที่มีการพูดถึงมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งก็มีนักประวัติศาสตร์ศึกษาไปพบว่าการกล่าวอ้างถึงตั๊กม้อในฐานะผู้ให้กำเนิดกังฟูเส้าหลิน เพิ่งจะมีการกล่าวถึงเก่าสุดก็ในศตวรรษที่ 17 นี่เองในตำราชี่กงที่มีชื่อว่า อี้ จินจิง หรือที่สายนิยายกำลังภายในรู้จักกันในนามของ “คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น”

ในอีกทางหนึ่ง การฝึกยุทธ์ของเส้าหลินเองก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นการออกกำลังกายบริหารที่ทั้งเสริมสร้างสมาธิ และสติปัญญาในอีกทางหนึ่ง ซึ่งมองว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้พระสามารถศึกษาธรรมได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การฝึกฝนเพื่อสติและสมาธิก็ได้ก่อให้เกิดผลอื่น ๆ อย่างการที่ทำให้วัดเส้าหลินมีความเกี่ยวข้องในความขัดแย้งและร่วมต่อสู้ในยุทธการหรือสงครามด้วยในอีกแง่หนึ่ง ตลอดจนช่วยให้สามารถปกป้องวัดจากโจรผู้ร้ายที่เข้ามาขโมยของได้

-----

เส้าหลินกับอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของซื่อ หย่งซิน

ประวัติศาสตร์ของเส้าหลินที่วนเวียนอยู่กับเรื่องของศิลปะการต่อสู้ได้ส่งผลต่อวัฒนธรรมประชานิยมค่อนข้างมาก ซึ่งก่อให้เกิดภาพยนตร์หรือนวนิยายกำลังภายในออกมาเต็มไปหมด แต่ในขณะเดียวกันผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ก็จำเป็นที่จะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่านิยายก็คือนิยาย การที่ประวัติศาสตร์ของเส้าหลินกับวัฒนธรรมประชานิยมหลอมรวมเข้าด้วยกันก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการศึกษาประวัติศาสตร์ของวัดเส้าหลินเหมือนกัน

แก่นทางวัฒนธรรมของวัดเส้าหลิน ปรากฏให้เห็นเป็นหลัก 4 ประการ อันประกอบด้วย นิกายฉาน ศิละการต่อสู้ ยาแผนโบราณ และศิลปะ ซึ่งล้วนแต่มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมของเส้าหลินที่ถูกเผยแพร่ออกไป

การเผยแพร่ของเส้าหลินในแง่ของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้นมาด้วยซื่อ หย่งซิน ที่ทำให้เส้าหลินกลายเป็นวัดที่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และมีลูกศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ที่วัดเองก็มีการทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการรองรับผู้เยี่ยมชมมากมาย ทั้งการแสดง ร้านค้าของที่ระลึก ตลอดจนมีกิจกรรมต่าง ๆ ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เป็นไปตามหลัก 4 ประการของเส้าหลินด้วย มีทั้งประชาชนที่สนใจ ตลอดจนคนดังต่าง ๆ เดินทางมาเยี่ยมชม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกด้วย

โดยปกติแล้วรายได้ที่เส้าหลินได้รับจะนับเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งรายได้อีก 2 ส่วนที่เหลือนั้นจะเป็นของเมือง ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาใช้ในการพัฒนาเมือง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ไม่ใช่เพียงแค่ระดับเมืองเล็ก ๆ แต่ยังไปได้ถึงระดับมณฑลเลยทีเดียว ซึ่งรายได้ของเส้าหลินภายในการนำของซื่อ หย่งซินต่อปีนั้นสูงถึง 500 ล้านหยวนต่อปี ตามข้อมูลของเทียนเหยี่ยนฉาเลยทีเดียว

ในมุมมองหนึ่ง เราอาจจะมองว่าการทำให้เส้าหลินเป็นเรื่องพุทธพาณิชย์อาจจะเป็นการพยายามที่จะดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมเส้าหลินผ่านเม็ดเงินมหาศาลจากอุตสหกรรมวัฒนธรรม ซึ่งรายได้จำนวนหนึ่งถูกใช้ไปเพื่อการบูรณะวัด แต่อย่างไรก็ดี ความโลภเองก็เป็นสิ่งที่ยากจะหนีพ้น จึงส่งผลให้ซื่อ หย่งซินกระทำผิดในการนำเอารายได้ไปใช้ในทางที่ไม่ชอบมานานหลายปี ก่อนที่จะถูกจับเมื่อไม่นานมานี้เอง

-----

อนาคตของเส้าหลินในวันที่เปลี่ยนผ่านเจ้าอาวาส

หลังจากที่ซื่อ หย่งซินถูกจับ เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินก็ผลัดเปลี่ยนมาสู่มือของซื่อ หยินเล่อ ซึ่งได้ทำการปฏิรูปวัดเส้าหลินหลายอย่างทั้ง ๆ ที่เพิ่งมารับตำแหน่งไม่นาน โดยมีแนวคิดหลักก็คือการปฏิรูปจากพุทธพาณิชย์คืนสู่วัดเส้าหลินที่แท้จริง

ซึ่งได้มีการประกาศให้วัดเส้าหลิน หยุดกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ปิดร้านค้าภายในวัด ห้ามเก็บค่าพิธีกรรมที่สูงเกินเหตุ ปรับระบบรายได้แบบใหม่ และส่งเสริมการพึ่งพาตัวเอง ซึ่งความเคร่งครัดที่จะพาเส้าหลินกลับสู่ยุคเก่าก่อนพุทธพาณิชย์ของซื่อ หย่งซิน ทำให้พระเส้าหลินจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะสึกออกไป

แน่นอนว่าการปฏิรูปวัดเส้าหลินของเจ้าอาวาสคนใหม่จะเป็นผลดีในเรื่องของคงไว้ซึ่งความเป็นวัดที่ถูกต้องตามแบบแผน แต่ในขณะเดียวกันรายได้จากอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของมณฑลอาจจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญด้วย

สุดท้ายนี้การปฏิรูปวัดเส้าหลินของเจ้าอาวาสคนใหม่จะเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องได้หรือไม่นั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องรอคอยกันต่อไป สถานการณ์ของวัดเส้าหลินในปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่ได้อย่างเสียได้ สุดท้ายก็คงต้องเลือกเอาว่าจะยึดซึ่งทางธรรม หรือจะคงไว้ซึ่งทางโลก นี่เป็นสิ่งที่เจ้าอาวาสวัดซึ่งมีบทบาทในการบริหารวัดเส้าหลินต้องเลือกทางที่ถูกต้องต่อไป…

-----

เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา

ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด

════════════════

 

ข้อมูลเนิือหาจาก.  Bnomics by Bangkok Bank


นักเดินทาง