จุดสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย
ธปท.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps แตะระดับ 2.50% คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ซึ่งเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่ 8 ติดต่อกันจากครั้งก่อนหน้าที่ 2.25% เป็น 2.50% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี หรือตั้งแต่ปี 2555
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps นั้นสูงกว่าที่เราคาดและตลาดมองไว้ที่ว่า ธปท. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% โดยทั้งนี้ตลาดเพิ่งจะลดความคาดหมายลงเป็นว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังประเมินว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25bps ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันก่อนการประชุม กนง. สะท้อนความไม่แน่ใจของตลาด
ลดประมาณการการเติบโตปี 2566 แต่ปรับแนวโน้มปี 2567 จะดีขึ้น นอกจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ธปท.ยังปรับประมาณการเศรษฐกิจในการประชุม กนง. รอบนี้อีกด้วย โดยปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2566 จาก 3.6% เหลือ 2.8% ตามประมาณการส่งออกที่ลดลงจาก -0.1% เป็น -1.7%
อย่างไรก็ตาม กนง.ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ปี 2567 ขึ้นจาก 3.8% เป็น 4.4% ตามการบริโภคภายในประเทศที่มีทิศทางฟื้นเร่งตัวได้ดีโดยปรับเพิ่มจากเดิมขยายตัว 3.2% เป็น 4.1%
คาดเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า หากไม่มีมาตรการบรรเทาหนี้ ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ตามเป้านโยบายที่ 1.6% ในปี 2566 ลดลงจาก 2.5% ในการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ในเดือน พ.ค.
อย่างไรก็ตาม กนง.มองว่าอัตราเงินเฟ้อปีหน้าอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2.6% จาก 2.4% ก่อนหน้า เนื่องจากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ และเมื่อไม่มีโครงการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพเหมือนเช่นช่วงก่อนหน้า
Implications
ธปท.นำ upside risks ในอนาคตมาพิจารณาก่อนมากเกินไป ธปท.มาเหนือความคาดหมายของตลาดด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bp เป็น 2.50% เมื่อวานนี้ แต่เราเชื่อว่าทุกคนคงยอมรับได้ว่าการประเมินว่า กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้หรือไม่นั้นค่อนข้างก้ำกึ่ง แม้ว่าแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นและเราอาจเห็นแรงกดดันเงินเฟ้อตามมาจากด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะเมื่อมีโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท และการท่องเที่ยวที่ฟื้นหลังออกมาตรการวีซ่าฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัดสถาน

แต่ในมุมมองของเรา ธปท.อาจนำ upside risk ในอนาคตมาพิจารณาก่อนมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่ออัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำจนใกล้ศูนย์ อีกทั้งการเติบโตของ GDP ไตรมาส 2/2566 ก็ออกมาอ่อนแอกว่าที่เคยประเมินกัน นอกจากนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะสามารถอัดฉีดเงินดิจิทัลได้ตามที่วางแผนไว้ได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ สำหรับเราแล้วดูเหมือนว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ของ ธปท. น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของวัฏจักร เนื่องจาก กนง.ได้นำความเป็นไปได้ทั้งหมดว่าจะมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้เงินเฟ้อขึ้นแล้วนำมาพิจารณาสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ทั้งหมด อีกทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้อาจมาจากสาเหตุวาระของกรรมการ กนง.บางรายกำลังจะหมดลง และอาจจะไม่มีการต่ออายุหลังจากดำรงตำแหน่งมาแล้ว 2 วาระ
กรรมการ กนง. 2 รายกำลังจะครบวาระ วาระการทำงานของกรรมการ กนง. 2 ราย ได้แก่ นายสมชาย จิตสุชน และนายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน กำลังจะหมดลงในเดือนหน้า โดยเฉพาะนายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน อดีต รองผู้ว่าการ ธปท. และเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่สายเหยี่ยวสำคัญที่ได้เข้ารับตำแหน่งภายหลังการลาออกของ นายคณิศ แสงสุพรรณ เมื่อต้นปี
โดยวาระของนายไพบูลย์อาจไม่ได้รับการต่ออายุ เนื่องจากมีความซับซ้อนในการพิจารณาว่านายไพบูลย์ถือว่าเป็นกรรมการจากภายในหรือภายนอก เพราะนายไพบูลย์เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการ ธปท. มาก่อน โดย กนง.สมควรที่จะประกอบด้วยสมาชิกจากภายใน 3 คน และสมาชิกจากภายนอก 4 คน เพื่อให้เกิดความสมดุลและความเป็นกลาง แต่องค์ประกอบของ กนง.ในปัจจุบันมีสมาชิกจากภายใน 4 คน ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าทำไม กนง. ชุดนี้ให้น้ำหนักด้านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า ซึ่งอาจเป็นการทำนโยบายไม่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาลชุดใหม่
