สรุป กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ให้ผลตอบแทนจนถึง ณ.วันที่ 30 สิงหาคม ปี พ.ศ 2562 มากกว่า พอร์ต ดร.นิเวศน์ = +201.39% แล้ว ดังนี้ คือ :
1) พอร์ต ดร.นิเวศน์ :
1.1) ปี พ.ศ 2561 = -9.90%
1.2) ปี พ.ศ 2562 = +22.18%
1.3) กําไรสะสมรวมในปี พ.ศ 2561 - 2562 ของพอร์ต ดร.นิเวศน์ = -9.90% +22.18% = +12.28%
2) กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ :
2.1) ปี พ.ศ 2561 = +19.30%
2.2) ปี พ.ศ 2562 = +194.37%
2.3) กําไรสะสมรวมในปี พ.ศ 2561 - 2562 ของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ = +19.30% + 194.37% = +213.67%
3) เพราะฉะนั้น กําไรสะสมรวมในปี พ.ศ 2561 - 2562 ของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์มากกกว่าพอร์ต ดร.นิเวศน์ = +213.67% - 12.28% = +201.39%
ตามรายละเอียด ดังนี้ คือ :
เนื่องจาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นนักลงทุนแบบ " เน้นคุณค่า " และ "เน้นการเติบโต " ตามแบบฉบับของ Benjamin Graham, Warren Buffett และ Philip A. Fisher ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองไทย
แต่หลักการลงทุนของผู้โพสต์ที่นํามาใช้ในการก่อตั้ง " กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) " นั้น เป็นแบบฉบับของจิม โรเจอร์ ที่เน้นการลงทุนใน " สิ่งที่ตัวเองมีความรู้ดี ", " แบบมุ่งเน้น " และ "แบบเน้นการคาดการณ์ " และเริ่มนับผลตอบแทนของการลงทุนตั้งแต่ปี พ.ศ 2561 เป็นต้นไปจนถึงปี พ.ศ 2590 ซึ่งจะมีระยะเวลาการลงทุน 30 ปี
เพื่อเป็นการอ้างอิงในอนาคต ผู้โพสต์จึงจะนําผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ และผลตอบแทนของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) มาเปรียบเทียบเป็นแบบปีต่อปี
ทั้งนี้ ผู้โพสต์ขอเรียนชี้แจงเป็นการล่วงหน้าว่า " ผู้โพสต์ไม่มีวัตถุประสงค์อย่างอื่น นอกจากเป็นการเปรียบเทียบและนํามาอ้างอิงเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการลงทุนทั้งสองแบบ " เท่านั้น ดังนี้ คือ :
ผลตอบแทนของพอร์ตของดร.นิเวศน์ ประจําปี พ.ศ 2561 = -9.90% ( โดยมีที่มาจากหนังสือ ฝ่าวิกฤติหุ้น ด้วย VI พันธ์แท้ โดยดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งเป็นหนังสือ Pocket Book เล่มล่าสุดของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร )
ผลตอบแทนของ " กองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) "
ประจําปี พ.ศ 2561 = +19.30% ( หุ้น STEC ที่ 17.10 บาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี พ.ศ 2561 ถึง 20.40 บาท เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 20.4 - 17.1 ) / 17.1 x 100 = +19.30% )
ความแตกต่าง = ( -9.90 ) - 19.30 % = -29.20%
อนึ่ง ความแตกต่างทางด้านแนวความคิดระหว่าง ดร.นิเวศน์ และผู้โพสต์มี ดังนี้ คือ :
1) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ : ไม่มีผลชี้นําต่อตลาดใดๆทั้งสิ้น ( ดร.นิเวศน์ ) : มีผลชี้นําโดยตรงต่อตลาดหุ้นเพราะเป็นผู้ที่กําหนดนโยบายที่สําคัญๆที่มีผลกระทบต่อโลก ( ผู้โพสต์ )
2) ธุรกิจค้าปลีก : ดีที่สุด ( ดร.นิเวศน์ ) : น่าจะใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว เพราะกระแสการซื้อขายสินค้าแบบ On-Line กําลังเข้ามาตีกระแสการซื้อสินค้าแบบ Off-Line ( ผู้โพสต์ )
3) ผลตอบแทน : ให้ความสําคัญกับเงินปันผล ( ดร.นิเวศน์ ) : ให้ความสําคัญกับ Capital Gain ( ผู้โพสต์ )
4) Derivatives : ไม่ดีเพราะเป็นการพนัน ( ดร.นิเวศน์ ) : ดีเพราะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ถ้าเล่นได้อย่างถูกทิศถูกทาง ( ผู้โพสต์ )
5) ธุรกิจถ่านหิน : ไม่ดีเพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ( ดร.นิเวศน์ ) : ดีเพราะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่เพราะเศรษฐกิจจีนเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ในช่วงปี พ.ศ 2565 - 2570 ( ผู้โพสต์ )
6) ประเทศเวียตนาม : ประเทศเวียตนามดีกว่าประเทศไทย ( ดร.นิเวศน์ ) : ประเทศไทยดีกว่าประเทศเวียตนาม ( ผู้โพสต์ )
หมายเหตุ : 1) หุ้นตัวหลักของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร น่าจะเป็น " CPALL " ที่ปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 90 บาท เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ปี พ.ศ 2561 ส่วนหุ้นตัวหลักของกองทุนประกันความเสี่ยงเรืองอนันต์ ( RUANG-A-NUNT HEDGE FUND ) คือ " STEC " ซึ่งพึ่งปรับตัวขึ้นมาจากการทําจุดตํ่าสุดในรอบนี้ที่ 17.10 บาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี พ.ศ 2561
2) หรือถ้าจะมีการเปรียบเทียบเฉพาะในปี พ.ศ 2562 เมื่อ CPALL ปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ 68.75 บาท แล้วปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 84.00 บาท เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปี พ.ศ 2562 หรือปรับตัวขึ้นมา +22.18% ส่วน STEC ปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ 20.40 บาท แล้วปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 22.70 บาท เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2562 หรือปรับตัวขึ้นมา +11.27% แล้ว ทําการ Long และ Short Set 50 Derivatives และได้กําไรรวมในปี พ.ศ 2562 = +194.37%
3) โปรดติดตามการ Long และ Short Set 50 Derivatives ในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com และ Group Facebook