ห้องเม่าปีกเหล็ก

Nvidia ทุบทุกสถิติ!

โดย กล้วย
เผยแพร่ :
37 views

Nvidia ทุบทุกสถิติ! กวาดกำไรแซงหน้ายอดขายคู่แข่ง สยบข่าวลือฟองสบู่ AI แตก

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ต้องรีบมาอัปเดตเรื่องใหญ่ระดับโลกที่นักลงทุนทั้งตลาดตั้งตารอคอย นั่นคือผลประกอบการของ Nvidia ประจำไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2026 (ช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2025) ที่เพิ่งประกาศออกมาสดๆ ร้อนๆ

บอกเลยว่าตัวเลข "ปังมากแม่" จนต้องหยิบมาเล่าให้ฟังแบบเจาะลึก เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหุ้นตัวเดียว แต่เป็นเข็มทิศชี้ชะตาโลกเทคโนโลยีในอนาคตเลยทีเดียวค่ะ

 

 

รายได้ทุบสถิติใหม่ สยบทุกคำครหา: กำไรบริษัทเดียว มากกว่ายอดขายคู่แข่งรวมกัน?

ก่อนหน้านี้มีกระแสความกังวลหนาหูมากว่ากระแส AI มันเป็นแค่ "ฟองสบู่" หรือเปล่า? แต่พอ Nvidia เปิดสมุดพกออกมาโชว์ บอกได้คำเดียวว่า "สยบข่าวลือ" ได้อย่างราบคาบแถมยังหักปากกาเซียนทุกสำนักค่ะ

ในไตรมาสนี้ Nvidia สร้างปรากฏการณ์ด้วยการทำรายได้รวมพุ่งทะยานแตะ 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (Record Revenue) เติบโตขึ้นถึง 22% จากไตรมาสก่อนหน้า และกระโดดขึ้นไปถึง 62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขนี้เอาชนะความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่มองไว้เฉลี่ยที่ประมาณ 55,200 ล้านดอลลาร์ไปแบบขาดลอย

แต่สิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่ารายได้ คือ "กำไรสุทธิ" (Net Income) ค่ะ ไตรมาสนี้ Nvidia กวาดกำไรเข้ากระเป๋าไปเน้นๆ ถึง 31,910 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 1.30 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.26 ดอลลาร์

ความพีคคือเมื่อเราลองเอาตัวเลขกำไรของ Nvidia มาเทียบกับคู่แข่ง จะเห็นภาพความยิ่งใหญ่ชัดเจนมาก เพราะตอนนี้ Nvidia กำลังทำกำไรสุทธิได้มากกว่า "ยอดขาย" ของคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Intel และ AMD รวมกันเสียอีก

นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า Nvidia ไม่ได้แค่ขายดี แต่เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาลและทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น

พระเอกของงานนี้ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจ Data Center ที่ทำรายได้ไปถึง 51,200 ล้านดอลลาร์ พุ่งขึ้น 66% จากปีก่อน โดยเฉพาะชิปประมวลผล (Compute) ที่เติบโตแรงกว่าส่วนของอุปกรณ์เครือข่าย (Networking) อย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ก็เขียวสดใสเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ Gaming ที่ทำรายได้ 4,300 ล้านดอลลาร์ เติบโต 30% จากปีก่อน และธุรกิจ ยานยนต์ (Automotive) ที่กำลังมาแรง ทำรายได้ไป 592 ล้านดอลลาร์ เติบโตถึง 32% ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า Nvidia แข็งแกร่งในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ AI เพียงอย่างเดียว

ปรากฏการณ์ Blackwell และคำว่า "ของหมด" ที่แท้ทรู

มาถึงไฮไลต์สำคัญที่ทุกคนรอคอย นั่นคือเรื่องของชิปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง "Blackwell" ที่คุณ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia พูดประโยคเด็ดที่ทำเอาตลาดฮือฮาว่า "Blackwell sales are off the charts, and cloud GPUs are sold out" หรือแปลง่ายๆ ว่า ยอดขาย Blackwell นั้นพุ่งทะลุกราฟ และ Cloud GPU ก็ถูกจองจนหมดเกลี้ยงแล้ว!

คำว่า "Sold out" หรือของหมดในที่นี้ ไม่ได้หมายความแค่ว่าขายดี แต่มันสะท้อนว่าผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ (Cloud Service Providers) ไม่มีกำลังการผลิตเหลือว่างเลย (No idle capacity)

ทุกคนแย่งกันซื้อเพื่อนำไปรองรับความต้องการมหาศาล โดย Nvidia ยืนยันว่าตอนนี้ชิป Blackwell ได้เข้าสู่กระบวนการผลิตจำนวนมากเรียบร้อยแล้ว และกำลังเร่งส่งมอบให้กับลูกค้าระดับบิ๊กเนมอย่าง Microsoft, Oracle, และ xAI ที่ต่างตบเท้าเข้ามาสั่งซื้อกันหลักแสนตัวเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ของอเมริกา

คุณ Jensen สรุปภาพรวมไว้อย่างน่าสนใจว่า เรากำลังเข้าสู่ "Virtuous Cycle of AI" หรือวงจรแห่งผลประโยชน์ที่เติบโตไม่รู้จบ ความต้องการไม่ได้มาจากแค่การฝึกฝนโมเดล (Training) อีกต่อไป แต่ยังมาจากการนำไปใช้งานจริง (Inference) ที่เติบโตแบบทวีคูณ เปรียบเหมือนประโยคในหนังดังว่าตอนนี้ AI กำลัง "Going everywhere, doing everything, all at once" คือไปทุกที่ ทำทุกอย่าง และเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกค่ะ

เจาะลึกเรื่องกำไรและต้นทุนที่นักลงทุนกังวล: ล้วงลึกตัวเลขที่ซ่อนอยู่

มาถึงประเด็นที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์เพ่งเล็งกันตาเป็นมัน นั่นคือเรื่องของ Gross Margin (อัตรากำไรขั้นต้น) และต้นทุนการผลิตที่ดูเหมือนจะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น เรามาแกะรอยกันทีละจุดค่ะ

อัตรากำไรยังแกร่งแต่มีความผันผวน: ไตรมาสนี้ Nvidia ทำ Gross Margin ได้ที่ 73.4% (แบบ GAAP) ซึ่งถือว่าสูงมากในระดับโลก แต่ถ้าสังเกตดีๆ ตัวเลขนี้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ทำได้ 74.6%

คำถามคือ ทำไม?

ต้นทุนแห่งการเปลี่ยนผ่าน: สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทกำลังเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไปสู่ชิปตัวใหม่อย่าง Blackwellค่ะ การเริ่มต้นผลิตสินค้าใหม่ที่มีความซับซ้อนสูงย่อมมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงกว่าปกติ นอกจากนี้ คุณ Jensen ยังยอมรับตรงๆ ว่า ต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานนั้นมีการ "พุ่งสูงขึ้น" โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญอย่างชิปหน่วยความจำ (Memory chips) ที่มีการพูดถึงกันมากในหมู่นักวิเคราะห์

ความได้เปรียบของพี่ใหญ่: แม้ต้นทุนจะเพิ่ม แต่คุณ Jensen ก็ไม่ได้ตระหนกค่ะ เขาชี้ให้เห็นว่า Nvidia มีข้อได้เปรียบมหาศาลจากการเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้มี "อำนาจในการต่อรอง" กับซัพพลายเออร์สูงมาก ทำให้การจัดการกับปัญหาคอขวดต่างๆ จึงทำได้ดีกว่าคู่แข่ง

สต็อกบวมเพราะเตรียมรบ: อีกจุดที่น่าสังเกตคืองบดุลที่แสดงให้เห็นว่า สินค้าคงคลัง (Inventories) พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 19,784 ล้านดอลลาร์ (จากต้นปีที่มีแค่ 10,080 ล้านดอลลาร์)

หลายคนเห็นแล้วอาจตกใจว่าขายไม่ออกหรือเปล่า? แต่ทาง Nvidia รีบชี้แจงทันทีว่า นี่คือ "สัญญาณที่ดี" ค่ะ เพราะเป็นการจงใจสั่งซื้อชิ้นส่วนที่หายากและต้องรอนาน (Long lead-time components) มาตุนไว้ เพื่อเตรียมผลิตชิป Blackwell ล็อตใหญ่ส่งมอบให้ทันความต้องการที่รออยู่

พูดง่ายๆ คือไม่ได้ของเหลือ แต่เป็นเสบียงเตรียมทัพเพื่อบุกหนักในไตรมาสหน้าต่างหาก

คำมั่นสัญญาจาก CFO: คุณ Colette Kress (CFO) ก็ออกมาให้ความมั่นใจว่า แม้จะมีแรงกดดันเรื่องต้นทุน แต่บริษัทกำลังบริหารจัดการอย่างเต็มที่เพื่อรักษา Gross Margin ให้อยู่ในระดับ "70% กลางๆ" (Mid-70s) ต่อไป ซึ่งใน Outlook ไตรมาสหน้าก็คาดการณ์ว่าจะดีดกลับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 74.8% - 75.0% ได้ค่ะ

 

ระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง: ไม่ใช่แค่ขายของ แต่คือการจับมือเดินไปด้วยกัน

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ Nvidia ทำได้เหนือชั้นกว่าคู่แข่ง คือการสร้าง "Ecosystem" หรือระบบนิเวศที่ผูกพันพันธมิตรไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น ไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไป แต่คือการร่วมหัวจมท้ายทางเทคโนโลยีค่ะ

Deep Tech Partnership: หลายคนสงสัยเรื่องที่ Nvidia ไปลงทุนในบริษัท AI ดาวรุ่งอย่าง OpenAI หรือ Anthropic ว่าเป็นการปั่นยอดขาย (Circular Financing) หรือเปล่า? คุณ Jensen เคลียร์ชัดว่า การลงทุนเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อ "ความร่วมมือทางเทคนิคเชิงลึก" (Deeper technical basis) เพื่อปรับจูนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด

OpenAI & Anthropic: ข่าวใหญ่คือ Nvidia กำลังทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายกับ OpenAI เพื่อขยายการสนับสนุนจากแค่บน Cloud ไปสู่ศูนย์ข้อมูล In-house ของ OpenAI เอง และที่พีคคือ Anthropic (ผู้สร้าง Claude AI) ได้ตกลงใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Nvidia เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้คุณ Jensen ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า "We run them all" หรือ "โมเดล AI ชั้นนำทั้งหมดรันอยู่บนระบบของเรา" ค่ะ

ขยายอาณาจักรสู่ "Physical AI" และ 6G: Nvidia ไม่ได้หยุดแค่ Chatbot แต่กำลังรุกหนักเข้าสู่โลกความจริง (Physical World) โดยจับมือกับยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตอย่าง Foxconn และ Toyota เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์และโรงงานอัจฉริยะ รวมถึงจับมือกับ T-Mobile และ Nokia พัฒนาระบบ AI-RAN เพื่อปูทางสู่เครือข่าย 6G

Sovereign AI (AI ระดับชาติ): เทรนด์ใหม่ที่มาแรงคือ "Sovereign AI" ที่แต่ละประเทศต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ของตัวเอง โดย Nvidia ได้เข้าไปร่วมมือกับรัฐบาลและเอกชนในหลายประเทศ ทั้ง อังกฤษ (ลงทุนเพิ่ม 2 พันล้านปอนด์), ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และล่าสุดคือ ซาอุดีอาระเบีย (ผ่านบริษัท Humain ที่โฮสต์ xAI) นี่คือเครื่องยืนยันว่า AI กำลังกลายเป็นวาระแห่งชาติของทุกประเทศทั่วโลก

 

มองไปข้างหน้า: ไตรมาสต่อไปยังโตไม่หยุด สู่เป้าหมาย 5 แสนล้าน!

สำหรับใครที่กลัวว่ากราฟจะหักหัวลง ต้องมาดูตัวเลขคาดการณ์ (Outlook) ไตรมาสหน้าค่ะ บอกเลยว่า "เครื่องยังร้อน" และไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงง่ายๆ ค่ะ

รายได้จ่อทะลุ 65,000 ล้านดอลลาร์: Nvidia ประเมินรายได้ในไตรมาสที่ 4 (สิ้นสุดมกราคม 2026) ไว้ที่ประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์ (บวกลบ 2%) ซึ่งตัวเลขนี้ "เอาชนะ" ค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 62,000 ล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ แม้จะมีบางสำนักที่มองโลกในแง่ดีสุดๆ คาดหวังไปถึง 75,000 ล้านดอลลาร์ แต่โดยรวมถือว่า Guidance นี้แข็งแกร่งมากค่ะ

อัตรากำไรขั้นต้นจะดีดตัวกลับ: ข่าวดีสำหรับคนห่วงเรื่อง Margin คือ Nvidia คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ในไตรมาสหน้าจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 74.8% - 75.0% (บวกลบ 0.5%) ซึ่งสูงกว่าไตรมาสนี้ เป็นสัญญาณว่าการผลิต Blackwell เริ่มเข้าที่เข้าทางและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เดิมพันด้วย "Organic Growth" ไม่พึ่งพาจีน: ที่น่าสนใจที่สุดคือ ตัวเลขคาดการณ์รายได้อันมหาศาลนี้ ผู้บริหารระบุชัดเจนว่า "ไม่ได้รวมรายได้จากชิป AI ในจีนไว้เลย" เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก

นี่แปลว่า Nvidia มั่นใจในดีมานด์จากทั่วโลก (นอกเหนือจากจีน) ว่าแข็งแกร่งพอที่จะดันรายได้ให้โตระเบิดได้โดยไม่ต้องง้อตลาดจีนในส่วนของชิปตัวท็อป

โรดแมปสู่ 5 แสนล้านเหรียญ: คุณ Jensen และ CFO ย้ำเป้าหมายระยะยาวที่น่าตื่นเต้นมากว่า บริษัทกำลังเดินหน้าสู่รายได้ระดับ 500,000 ล้านดอลลาร์ (5 แสนล้านเหรียญ) ในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า และ CFO ยังบอกอีกว่ามีโอกาสที่จะไปได้ไกลกว่านั้นอีก นี่คือการการันตีกลายๆ ว่าท่อส่งรายได้ (Pipeline) ของเขายาวเหยียดและมั่นคงสุดๆ

ภาษีและค่าใช้จ่าย: ในส่วนของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6,700 ล้านดอลลาร์ และอัตราภาษีจะอยู่ที่ 17% (บวกลบ 1%) ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ค่ะ

 

สรุป AI Bubble คือไรอ่ะ... ไม่มี

สรุปแล้ว ผลประกอบการครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า Nvidia ยังคงเป็น "ราชันย์แห่ง AI" ที่ยากจะโค่นล้มค่ะ ตัวเลขรายได้และกำไรที่เอาชนะทุกความคาดหมาย เป็นเครื่องยืนยันว่าเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วย AI เท่านั้น ไม่ใช่ช่วงขาลงแต่อย่างใด

ราคาหุ้นหลังตลาดปิด (After-hours) ที่พุ่งขึ้นประมาณ 4-5% ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่านักลงทุนขานรับข่าวดีนี้อย่างเต็มที่ ใครที่ถือหุ้นอยู่ หรือกำลังจับตากระแสเทคโนโลยี บอกเลยว่าหนังม้วนนี้ยังฉายอีกยาวค่ะ

 

 

ที่มาเนื้อหาจาก.  Beauty Investor


กล้วย