DTCENT หุ้นไอพีโอน้องใหม่สุดฮอต
กับตำแหน่งผู้นำ GPS Tracking อันดับ 1 ในไทย
โชว์กลุ่ม “เบียร์สิงห์” ถือหุ้น 11.20%

.
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลัง COVID-19 คาดจะทำให้มีความต้องการใช้บริการจากธุรกิจขนส่งมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการค้าและบริการ ทำให้ต้นทุนการขนส่งจะกลับขึ้นมาเป็นส่วนหลักของต้นทุนโลจิสติกส์อีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการมีความตื่นตัวและให้ความสำคัญในการบริหารจัดการต้นทุนโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ผู้ประกอบการต่างๆสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจตนเอง
.
สอดรับกับกระแสปรับเปลี่ยนสู่สังคมเศรษฐกิจแบบดิจิทัล ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งรวมไปถึงการนำอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และซอฟต์แวร์บริหารจัดการขนส่งมาช่วยในการจัดการวางแผนการจัดส่ง และควบคุมต้นทุนให้มีความรัดกุมและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อที่จะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
.
ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยี อุตสาหกรรม Internet of Things (IoT) อ้างอิงสถิติจากงานวิจัยของบริษัท Frost & Sullivan และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้ประเมินว่า มูลค่าตลาดอุตสาหกรรมไอโอทีในประเทศไทย จะมีการเติบโตก้าวกระโดด ในปี 2576 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 30.18% ต่อปี เนื่องจากความพร้อมของ Digital Infrastructure โดยเฉพาะโครงข่าย 5G ที่มีพัฒนาการดีขึ้น และการสนับสนุนของภาครัฐตามนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล
.
ดังนั้นจากการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและการตื่นตัวในการนำเทคโนโลยีมาในอนาคตจึงเป็นโอกาสสำคัญของ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT
.
โดยคอลัมน์ NEXT IPO ประจำวันอังคาร Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาทำความรู้จักกับ DTCENT ที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 15 ธันวาคม 2565 ในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
.
4 โบรกเกอร์เคาะราคาเป้าหมาย
ล่าสุด 4 กูรูหุ้นเคาะราคาเป้าหมายเฉลี่ย 3.06 - 3.30 บาท ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ที่ให้ราคาเป้าหมาย 3.30 บาท ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ให้ราคาเป้าหมาย 3.24 บาท บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.06 บาท
.
โดย DTCENT ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 305 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25.31% ของหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ในราคาหุ้นละ 2.86 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เท่ากับ 46.78 เท่า มูลค่าการเสนอขาย 872.30 ล้านบาท
.
ขณะที่วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุน เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ รวมทั้งใช้เป็นเงินลงทุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจได้ในอนาคต
.
ทำความรู้จัก DTCENT
.
DTCENT ดำเนินธุรกิจออกแบบ วิจัย พัฒนา จัดจำหน่าย และให้บริการอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และพัฒนาระบบไอโอที (IoT Solution) และ Artificial Intelligence (AI) ครบวงจร รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารการขนส่งและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
.
โดยบริษัทเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม GPS โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย จากผู้ให้บริการระบบ GPS ที่เชื่อมต่อข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก ทั้งหมด 200 ราย โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 9.05% (อ้างอิงจากข้อมูลกรมขนส่งในเดือนมิถุนายน 2565)
นอกจากนี้บริษัทมีบริษัทย่อยจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท วิศวกรรม ซอฟต์แวร์ จำกัด (WS) โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 90% บริษัท ไทย ดิจิทัลแมพ จำกัด (TDM) หุ้นในสัดส่วน 95% และบริษัท ดี คอร์ ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ จำกัด (DCORE) ถือหุ้นในสัดส่วน 90%
.
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2562-2564 และงวด 9 เดือน 2565 มีรายได้รวม 810.94 ล้านบาท 639.38 ล้านบาท 591.53 ล้านบาท และ 479.72 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิในปี 2562-2564 และงวด 9 เดือนปี 2565 เท่ากับ 166.49 ล้านบาท 109.12 ล้านบาท 77.24 ล้านบาท และ 52.39 ล้านบาท ตามลำดับ
.
ทั้งนี้รายได้หลัก จะมาจากธุรกิจจัดจำหน่ายและให้บริการที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) ทั้งในส่วนของการจัดจำหน่ายหรือการให้เช่าอุปกรณ์
สำหรับติดตามยานพาหนะ และอุปกรณ์เสริม รวมถึงการให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อการใช้งานอุปกรณ์ประเภทต่างๆ โดยในงวด 9 เดือนปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 89.79% ของรายได้จากการขายและบริการ
.
ด้านรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย รายได้จากการให้บริการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ รายได้จากการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ รายได้จากการให้บริการพัฒนาโครงการทั้งด้าน IoT และอื่น ๆ ค่าบริการย้ายอุปกรณ์ไปยานพาหนะอื่น และค่าบริการติดตั้งซิมการ์ดในอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น
.
โครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังขายไอพีโอ
ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลักๆ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ประกอบด้วย กลุ่มครอบครัวนายทศพล และนางสาวจิราพร ถือหุ้นในสัดส่วน 48.93% บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นในสัดส่วน 13.44% และบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 11.20%
.
สำหรับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้น 100% โดยบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด มีผู้ถือหุ้นคือ ครอบครัวภิรมย์ภักดี สัดส่วน 77.88% กระทรวงการคลัง 5.30% บริษัท ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) 2.07% บริษัท บีเบทโต โฮลดิ้ง เอจี จำกัด 1.67% และผู้ถือหุ้นอื่นๆ 13.08%
.
ทั้งนี้ บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ได้เข้ามาลงทุน โดยมีจุดประสงค์ที่จะร่วมมือในการพัฒนาและขยายงานธุรกิจด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ทางด้าน Supply Chain ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในกลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์
.
โดยอาศัยจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีของกลุ่มบริษัทผสานกับเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งของทาง BRS รวมถึงหาโอกาสในการขยายไปยังธุรกิจประเภทอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจให้กับกลุ่มบริษัทฯ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวร่วมกัน