“ดอกเบี้ยใกล้จบขาขึ้น” ชู “ตราสารหนี้โลก” น่าสนใจกว่าหุ้น...
“หุ้นไทย” ต่ำกว่า 1,500 จุด แนะทยอยเก็บ ไม่แพง มองดัชนีสิ้นปี 1,620 จุด !!!

.
Fun of Funds: เข้าสู่ครึ่งหลังปี23 อย่างเต็มตัว สถานการณ์ลงทุนยังคงมีสารพัดปัจจัยเสี่ยงให้ต้องจับตา ใน “ต่างประเทศ” โลกคงจับตาไปที่พี่ใหญ่อย่างสหรัฐเป็นสำคัญ ทั้งเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง
.
ที่จะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนของนโยบายการเงินของ Fed ตลอดจนความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” (Recession) ยังเป็น 3 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโลกการลงทุนในตอนนี้
.
ส่วนในไทยเอง “การเมือง” ยังเป็นปัจจัยที่รอความชัดเจน พัฒนาการทางการเมือง ตลอดจนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ว่าจะเป็นยังไง
.
การลงทุนในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ “การกระจายการลงทุน” (Asset Allocation) ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ส่วน “หุ้นไทย” ที่ระดับต่ำกว่า 1,500 จุดนั้น ก็แนะนำทยอยสะสมได้เช่นกัน
.
มุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งหลังจะเป็นเช่นไร ตาม ทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthythai’ ไปอัพเดทมุมมองการลงทุนจาก “บลจ.ยูโอบี” พร้อมๆ กันได้เลย
.
ชอบ “ตราสารหนี้โลก” มากกว่า “หุ้น” รับดอกเบี้ย ‘ใกล้จบวงจรขาขึ้น’…พร้อมเพิ่มน้ำหนัก “หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว”
.
โดย “วรรณจันทร์ อึ้งถาวร” รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บลจ. ยูโอบี ได้ให้มุมมองว่า เศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลดลงน้อยกว่าที่คาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการและการบริโภคที่ยังคงขยายตัวได้ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาคการจ้างงานที่ยังดี และอัตราการเติบโตของค่าแรงที่ยังคงเติบโต นอกจากนี้ระดับเงินออมที่อยู่ในระดับสูงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐดีกว่าคาดถึงแม้ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (Fed) จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา
.
“หุ้นตลาดประเทศพัฒนาแล้ว” (Developed Market) ยังปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส2/23 ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความกังวลจากประเด็นการล้มละลายของ Regional Bank ในสหรัฐที่คลี่คลาย
.
รวมถึงกระแสการตื่นตัวการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Robotics & AI ซึ่งทำให้ “หุ้นกลุ่มเติบโต “ (Growth Stock) ปรับตัวได้อย่างโดดเด่น อย่างไรก็ดีในช่วงท้ายไตรมาส2/23 ตลาดหุ้นมีการพักฐานหลังจาก Fed ส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง
.
“จากการประชุม Fed ล่าสุด มุมมองดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับขึ้นไปสู่ระดับ 5.50 – 5.75% ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ Recession ยังคงอยู่ในระดับสูง มีโอกาสเกิดขึ้น 65% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ก็จะไม่ลึกเป็น Recession อ่อนๆ มากกว่า ซึ่งในบริบทดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ‘ตราสารหนี้หนี้โลก’ น่าสนใจกว่า ‘หุ้น’ แต่ไม่ได้ underweight หุ้นแต่ประการใด”
.
จากบริบทดังกล่าว แนะนำให้ “ลดเงินสด” และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน “ตราสารหนี้ภาคเอกชนทั่วโลก” เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในตราสารหนี้ที่น่าสนใจในช่วงวัฏจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะผ่านจุดสูงสุดโดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระดับ Investment Grade ที่มีคุณภาพเพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ในระยะข้างหน้าที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวสูง
.
“และปรับน้ำหนักการลงทุนใน ‘หุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว’ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด ในขณะเดียวกันได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนใน ‘หุ้นกลุ่มประเทศในฝั่งเอเชีย’ ที่แม้ว่ามีมูลค่าที่น่าสนใจแต่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศไปแล้ว ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ช้ากว่าคาด และการฟื้นตัวในระยะข้างหน้ายังต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้น”
.
เปิด 3 ปัจจัยต้องตามใกล้ชิดครึ่งปีหลัง...ส่วน “หุ้นไทย” ต่ำกว่า 1,500 จุด แนะทยอยเก็บ-เน้นหุ้น Value เป็นสำคัญ
.
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในครึ่งปีหลังคือ
.
1) อัตราเงินเฟ้อที่แม้ว่าจะปรับตัวลดลง แต่มีโอกาสที่จะคงอยู่ในระดับสูงโดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน มีแนวโน้มปรับตัวลดลงช้ากว่าที่คาด เป็นผลมาจากภาคการจ้างงานที่ยังคงตึงตัวอยู่
.
2) ความสอดคล้องกันระหว่างการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมอัตราเงินเฟ้อและการบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
.
3) กำไรบริษัทจดทะเบียน ที่อาจได้รับผลจากนโยบายการเงินและสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนลงได้อีก
.
“ส่วนไทยเองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2/23 ยังคงอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัว ซึ่งมาจากกิจกรรมภาคการบริการที่ขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างชาติที่เพิ่มขึ้น เอื้อต่อการบริโภคภาคเอกชนและตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกยังคงปรับตัวลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้อุปสงค์จากต่างประเทศลดลง และสอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่แม้ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวแต่โมเมนตัมอาจเริ่มชะลอตัวลง”
.
“หุ้นไทย” เองมูลค่าปัจจุบันอยู่ในโซนถูก ที่ระดับต่ำกว่า 1,500 จุด แนะนำทยอยเข้าลงทุนได้ โดยเป้าดัชนี SET Index สิ้นปีนี้ยังมองที่ระดับ 1,620 จุด ทั้งนี้ปัจจัยการเมืองยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตามองเพราะนักลงทุนไม่ชอบอะไรที่ไม่ชัดเจน แต่หลังจากที่การมเองชัดเจน นโยบายต่างๆ ชัดเจน คาดว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามหากพัฒนาการทางการเมืองเป็นไปในเชิงลบ มีการลงถนนและมีเหตุการณ์วุ่นวายไม่สงบเกิดขึ้น ในกรณีเลวร้ายก็อาจเห็นหุ้นไทยลงไปแตะระดับ 1,400 จุด ได้เช่นกัน
.
“ช่วงครึ่งปีแรกหุ้นไทยปรับตัวลง มีการปรับคาดการอัตรากำไรบริษัทจดทะเบียนลงต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 92 บาท และยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลงได้อีกแต่ก็ไม่มากนัก หุ้นคงต้องเลือกลงทุนเน้นหุ้นที่มีคุณภาพ ปันผลสูง สไตล์หุ้นคุณค่า (Value) โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน เป็นต้น”
.
แนะ “กระจายลงทุน”...ส่วนหุ้นเน้น “คุณภาพ-มีปันผล” สไตล์ Value ฝ่าศก.ถดถอยสหรัฐ
.
โดย “กุลฉัตร จันทวิมล” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ. ยูโอบี มองว่า การเติบโตของเศรษฐกิจในกรณีพื้นฐาน (Base Case) จะเป็นในลักษณะที่มีการชะลอตัวแบบไม่รุนแรง (Soft Landing) ซึ่งการบริหารความเสี่ยงท่ามกลางสภาวะที่มีความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และนักลงทุนไม่ควรที่จะกลัวการลงทุนมากไป พร้อมทั้งควรเน้นการคัดสรรหลักทรัพย์ที่จะลงทุนและการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนควบคู่กันไปด้วย โดยนักลงทุนที่ “รับความเสี่ยงได้ปานกลาง” แนะนำมีตราสารหนี้ 55% หุ้น 45% และการลงทุนทางเลือก 5%
.
สำหรับตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว เรามองว่านักลงทุนได้เปลี่ยนโฟกัสจากความเสี่ยงในการดำเนินนโยบายทางการเงินมายังความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และยังมีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนลงได้อีก (Earnings Downgrade) ดังนั้นการลงทุนต้องเน้นไปยังกลุ่มที่ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและกำไรที่สม่ำเสมอ (Quality & Visibility of Earnings) และมีพื้นฐานรองรับในการเติบโตที่ชัดเจน (Secular Growth)
.
นอกจากนี้ ในภาพระยะกลางเราเชื่อว่าหากเกิด Recession ขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดจะค่อย ๆ Priced In ไปยังวัฏจักรเศรษฐกิจการฟื้นตัวในระยะถัดไปและเปิดโอกาสให้หุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่กว้างขึ้นได้ โดยแนะนำให้ลงทุนในกลุ่ม Mid-Small Cap หรือ Cyclical Play ที่ยัง Laggard และมี Valuation ที่น่าสนใจ
.
“ในส่วนของหุ้นเน้นคุณภาพและมีปันผลดี ทั้งหุ้นต่างประเทศและในประเทศ ในส่วนของตราสารหนี้โลกน่าสนใจกว่าหุ้น ทั้งนี้ตราสารหนี้ไทยเองระยะสั้นก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเงินฝากทั้งในส่วนของ ‘กองตราสารตลาดเงิน’ หรือ Term Fund อายุ 6 เดือน ของบริษัทก็เน้นลงทุนในพันธบัตรล้วน ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.75% ต่อปี และทางเลือกนียังคงเปิดอยู่จนกว่าดอกเบี้ยเงินฝากจะขยับปรับขึ้นมาทัน ซึ่งนั่นคงต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน”
.
เปิด 8 กองทุนแนะนำที่น่าสนใจทั้ง “ตราสารหนี้” และ “หุ้น”
.
ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบี มีกองทุนเด่นแนะนำ ดังนี้
.
กลุ่มกองตราสารหนี้: TCMF-M, UINC และ UGIS
.
กลุ่มกองหุ้น: สำหรับท่านที่หวังผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้น แนะนำลงทุนในหุ้นทั่วโลกในอุตสาหกรรมที่ได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ UNI-M, UINFRA, UEV-M, UBOT และ UESG-M
.
แม้มองไปในช่วงครึ่งหลังของปี23 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงไปก็ตาม แต่ก็ไม่ควรกลัวจนเกินไปซึ่งอาจทำให้ “พลาดโอกาสลงทุน” ไปได้เช่นกัน ทาง “บลจ.ยูโอบี” ยังชอบ “ตราสารหนี้
.
โลก” มากกว่าหุ้น ที่สำคัญแนะใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อตอบโจทย์ในทุกภาวะตลาด “หุ้น” เน้นคุณภาพสไตล์ Value ที่มีปันผลดีเป็นสำคัญ

