ส่องอนาคต JWD จะเติบโตแค่ไหน
เมื่อควบรวมกิจการกับ “เอสซีจี โลจิสติกส์”

.
หุ้นกลุ่มโลจิสติกส์หรือขนส่งเป็นการธุรกิจที่มีการขยายได้ดีตามภาคการส่งออกและในช่วงที่ผ่านภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังเป็นไม่กี่ธุรกิจที่ยังเติบโตภายใต้ภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง
.
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็มีประเด็นให้นักลงทุนได้ฮือฮาอย่างการรวมตัวของบริษัทใหญ่ระหว่าง บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD และ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SCGL เป็น SCGJWD
.
และภายหลังกระบวนการควบรวมเสร็จเรียบร้อยที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4/2566 บริษัทจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) โดยใช้ตัวย่อ “SJWD”
.
ทำให้การเติบโตของบริษัทหลังจากนี้ผู้บริหารก็ได้ตั้งเป้าหมายจะมูลค่าของบริษัทให้เป็น 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2570 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาทและหลังจากออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 791,020,363 ล้านหุ้นและเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ SCGL ที่ราคาหุ้นละ 24.02 บาทจะช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทให้เป็น 4 หมื่นล้านบาท
.
ตามโอกาสทางธุรกิจที่วางแผนร่วมกันมีทั้งหมด 5 ส่วน การเพิ่มรายได้จากการ Cross-Sale และ Up-Sale จากฐานลูกค้าเดิมของ SCGL และ JWD เพื่อเพิ่มรายได้และการประหยัดต้นทุน ,การสร้างมูลค่าเพิ่มในบริการเดิมที่แต่ละฝ่ายมีความชำนาญเช่น คลังห้องเย็น ลานจอดรถยนต์ คลังสินค้าอันตราย การขนส่งแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ เป็นต้น
.
การเชื่อมต่อฐานการให้บริการในภูมิภาคอาเซียนแบบไร้รอยต่อ โดยนำ Business Model ที่ประสบความสำเร็จในไทย ไปสร้างการเติบโตในต่างประเทศ ,ให้บริการแบบ D2C (Direct to Consumer) ตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ผ่านบริการ ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า, โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, การขนส่งแบบด่วน
และพัฒนาขอบเขตการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม บริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการโลจิสติกส์ เป็นต้น
.
ในส่วนของการเติบโตรายได้ในปี 2566 ที่จะมีการรวมฐานรายได้ขอทั้ง JWD ที่มีอยู่ 6 พันล้านบาทและ SCGL ที่มีอยู่ 2 หมื่นล้านบาท รวมกันเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพได้หรือราว 10-12% ซึ่งเมื่อเทียบการเติบโตในอดีตอาจจะลดลงเล็กน้อย แต่ด้วยฐานที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้บริษัทมีศักยภาพภาพการเติบโตได้ดีในอนาคต
.
โดยบทวิเคราะห์จากบล.ทิสโก้ มีมุมมองเชิงบวกต่อ SCGJWD เนื่องจากการควบรวมสร้างผลบวกในระยะยาว และการเป็นหุ้นส่วนกับลูกค้าผ่านการแบ่งกำไรจะสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวให้กับทั้ง 2 ฝ่าย ในเชิงผลกระทบทางการเงินแม้ว่าจะมีราคาหุ้นจะมีผลกระทบจากการเพิ่มทุน แต่มองว่าผลประกอบการจะเติบโตขึ้นเช่นกัน
.
จากการรวมงบของ SCGJWD คาดสินทรัพย์ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 250% จากของ JWD ในปี 2564 มีรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 400% และมี EBITDA ที่ 2.95 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 126% กำไรสุทธิที่ 1.1 พันล้านบาท เรามองว่าการควบรวมจะช่วยหนุนรายได้, อัตรากำไรและต้นทุนทางการเงินในปี 2566 เป็นต้นไป
.
และภาระหนี้สินจะลดลงจากหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนที่ 0.3 เท่า จากเดิม 1.9 เท่าในช่วงครึ่งปีแรกปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตรายปีแบบผสม(CAGR)ในระยะยาวที่ 12% ช่วง 6 ปีข้างหน้า (2564 – 2570) และมีมูลค่าตลาด 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2570
.
พร้อมกันนี้ปรับประมาณการปี 2565 -2570 รายได้ปรับขึ้น 250% และผลประกอบการราว 100% ด้านอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเป็น 17.2% ในปี 2566 , 18.8% สำหรับปี 2567 และ 19% สำหรับปี 2568 – 2576 ด้าน SG&A ต่อรายได้อยู่ที่ 13% จากเดิมที่ 16% ด้านงบการเงินจะมีปรับใหม่หลังการควบรวม และเราปรับกำไรปี 2565 ขึ้น 39% จากส่วนแบ่งกำไร ส่วนคำแนะนำการลงทุนให้ “ถือ” และมูลค่าที่เหมาะสมใหม่ 20.00 บาท
.
ด้านบทวิเคราะห์จากบล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้มีการปรับประมาณการปี 2566-2568 บนสมมติฐานการควบรวมกิจการแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66 โดยรวมผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน ยังไม่ได้รวม Synergies ที่จะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของรายได้และต้นทุนและข่าวดีที่จะเกิดขึ้น จึงคาดกำไรปี 2566 - 2568 ของ SCGJWD ยกฐานขึ้น
.
เป็นปี 2566 ที่ 1.16 พันล้านบาท ,ปี 2567 ที่ 1.29 พันล้านบาท และปี 2568 ที่ 1.40 พันล้านบาท จากปี 2565 ที่คาด 599.3 ล้านบาท กำไรที่คาดเพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัวหักล้างผลกระทบของจำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่เพิ่มขึ้น 77.6% ได้ ส่วนรายได้ปี 2566 จะอยู่ที่ 3หมื่นล้านบาท ,ปี 2567 ที่ 3.15 หมื่นล้านบาท และปี 2568 ที่ 3.32 หมื่นล้านบาท พร้อมกับยังคงแนะนำ “ซื้อ” และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท
.
ฟากนักวิเคราะห์จากบล.หยวต้า (ประเทศไทย) ให้มุมมองถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 15% ใน 2 วันที่ผ่านมา จากการ Sell on Fact หลังประกาศดีลควบรวมโดยการแลกหุ้น (Share Swap) กับ SCG Logistic ในวันพุธที่ผ่านมาประเมินว่าการปรับฐานของราคาหุ้นเป็นโอกาสสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลางขึ้นไป
.
คาดกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 185 ล้านบาท ทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 34% และเพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้า 22% ขณะที่การเข้าซื้อกิจการของ SCGL สัดส่วน 100% โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 791 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 24.00 บาท คาดธุรกรรมแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66 หนุนการเติบโตในระยะยาวจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นและการทำกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น จึงให้คำแนะ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 22.30 บาท