วัฏจักรเศรษฐกิจนั้น มีทั้งช่วงที่รุ่งเรืองและตกตํ่าสลับกันไปสลับกันมาเป็นวัฏจักร และวัฏจักรเศรษฐกิจแต่ละช่วงเวลานั้นอาจจะกินเวลานานเป็นปี หรือนานหลายปีทีเดียว
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งสําคัญหรือฟองสบู่โลกแตกครั้งสําคัญของโลกได้แก่ : 1) การตกตํ่าครั้งใหญ่ในปี ค.ศ 1929 ที่มีผลทําให้ Down Jones ปรับตัวลดลง -89% ภายในเวลา 3 ปี และ 2) วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี ค.ศ 2008 ที่มีผลทําให้ Down Jones ปรับตัวลดลง -54% ภายในเวลาเกือบ 2 ปี นั้น ล้วนแล้วเป็นผลมาจากนโยบายทางการเมืองของพรรค Republican ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งทําให้นโยบายของพรรค Republican ได้ถูกนํามาใช้อย่างเต็มที่ทั้งสื้น นโยบายของพรรค Republican ดังกล่าวข้างต้นนั้นล้วนแล้วเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาทั้งนั้นเช่น นโยบายการลดภาษี นโยบายกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายทั้งของภาครัฐและเอกชน เพื่อลดการว่างงาน สนับสนุนให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนนโยบายการตั้งกําแพงภาษีนําเข้า เป็นต้น
ก่อนหน้าที่จะเกิดการตกตํ่าครั้งใหญ่ในปี ค.ศ 1929 Down Jones ได้ปรับตัวขึ้นมาจากจุดตํ่าสุดที่ 42.15 จุดในปี ค.ศ 1903 แล้วมาทําจุดสูงสุดในรอบนี้ที่ 381.17 จุด ในปี ค.ศ 1929 หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 381.17 / 42.15 = +9.04 เท่า ภายในระยะเวลา 26 ปี อันเป็นผลมาจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหลายท่านฯของพรรค Republican แต่ท่านฯที่มีบทบาทที่สําคัญที่สุดคือประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ส่วนก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี ค.ศ 2008 นั้น Down Jones ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดตํ่าสุดในรอบนั้นที่ 802 จุด เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ 1982 มาทําจุดสูงสุดที่ 14,167 จุดเมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ 2006 หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14,167 / 802 = +17.66 เท่า ภายในระยะเวลา 24 ปี อันเป็นผลมาจากนโยบายของประธานาธิบดี Ronald Reagan จากพรรค Republican เช่นเดียวกัน
ประธานาธิบดี Donald Trump จากพรรค Republican ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2016 จนมาถึงเกือบครึ่งทางหรือ 2 ปีในปัจจุบัน ดัชนีอุสาหกรรม Down Jones ได้ปรับตัวขึ้นมาทําจุดสูงสุดสูงสุดตลอดกาลแล้ว +47.01% ส่วน Nasdaq ได้ปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาลแล้ว +56.61% แล้วปรับฐานลงมาในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า FOMC จะปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้คือปี พ.ศ 2561 และคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในการประชุม FOMC ในวันที่ 18 - 19 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 ที่จะถึงนี้ ซึ่งมีผลทําให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานใหญ่ตามที่ได้ทราบกันอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้น FOMC คงจะปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อที่จะให้ตลาดหุ้นยังคงอยู่ในสภาวะกระทิงตามเจตนารมภ์ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่วนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนนั้น ล่าสุดสหรัฐอเมริกาตั้งกําแพงภาษีต่อจีน 200,000 ล้าน USD โดยกําหนดอัตรา 10% ที่มีผลแล้ว กําลังพักรบ 90 วันและเจรจาการค้าในส่วนอื่นๆตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 เป็นต้นมา ซึ่งผลการเจรจาเริ่มเป็นบวกแล้วในปัจจุบัน การปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate อย่างค่อยเป็นค่อยไปและการเจรจาการค้าอย่างราบรื่นในอนาคต น่าจะทําให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา, Down Jones และ Nasdaq เดินหน้าปรับตัวได้ดีและอยู่ในสภาวะกระทิงต่อไปจากนโยบายของประธานาธิบดี Donald Trump จากพรรค Republican จนเกิด วิกฤติเศรษฐกิจหรือฟองสบู่โลกแตกครั้งต่อไปในปี พ.ศ 2564 หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไปในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563 แล้ว
หมายเหตุ : โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง ( จากปัจจัยขับเคลื่อนและผลักดันโดยประธานาธิบดี Donald Trump ), ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ ( จากปัจจัยขับเคลื่อนและผลักดันโดยนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ) และ สภาวะตลาดหมี ( จากปัจจัยขับเคลื่อนและผลักดันโดยวัฏจักรเศรษฐกิจขาลงรอบใหญ่วิเคราะห์โดย Ray Dalio ) ใน longtunbysak.blogspot.com