จากการประกาศสงครามการเงินและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยกแรก แล้วลุกลามเป็นสงครามการเงินโลกและสงครามการค้าโลก ดังนี้ คือ :
1) สงครามการเงินโลก : จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเริ่งปรับอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate และ คาดว่าจะปรับเพิ่มอีก 1 - 2 ครั้งในส่วนที่เหลือของปีนี้คือปี พ.ศ 2561
2) สงครามการค้าโลก : จากการที่สหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีจากจีนจํานวน 34,000 ล้าน USD เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2561 และ จะเรียกเก็บอีก 16,000 ล้าน USD ในวันที่ 23 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561 รวมสงครามการค้ายกแรกเป็นจํานวนทั้งสิ้น 50,000 ล้าน USD ซึ่งจีนก็ได้ประกาศตอบโต้แบบตาต่อตาและฟันต่อฟันในจํานวนที่เท่ากันไปแล้ว และ มีผลไปแล้วด้วย ยกต่อไปของสงครามการค้าประกอบไปด้วย :
2.1) การเรียกเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกาจากจีนอีก 200,000 ล้าน USD ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน ปี พ.ศ 2561 นี้ ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นปัญหาของจีน เพราะ จีนนําเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาแค่ 130,400 ล้าน USD ในปี พ.ศ 2560 เท่านั้น
2.2) สหรัฐอเมริกากําลังหาทางเล่นงานจีนกรณีที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะนวัตกรรมใหม่ๆมักจะเกิดขึ้นจากการค้นคิดในสหรัฐอเมริกา แล้วจีนก็นํามาลอกเลียนแบบเพื่อนําไปผลิตและจําหน่ายในเชิงการค้า ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในกรณีนี้ประธานาธิบดี Donald Trump ได้กล่าวหาจีนด้วยถ้อยคําที่รุนแรงมากว่า " China Should Stop Stealing the U.S.'s Best Ideas "
ผลจากสงครามการเงินและการค้าโลกยกแรกดังกล่าวข้างต้น ทําให้จีน ทั้งเซและทั้งเป๋ ดังนี้ คือ :
1) จีน :
1.1) ค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสําคัญเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ( โดยค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง -4.48% เมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีนี้คือปี พ.ศ 2561 ถึง วันที่ 24 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2561 )
1.2) ธนาคารกลางจีนอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบหลายครั้งหลายหนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2560 จนถึงปีนี้คือปี พ.ศ 2561
1.3) เศรษฐิกจีนเติบขยายตัวตํ่าลงโดยขยายตัวเพียง 6.7% ในไตรมาส 2/2018 เมื่อเปรียบเทียบกับ 6.8% ในไตรมาส 1/2018 ( ทั้งนี้ศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ตํ่ากว่า 7% ตั้งแต่ปี พ.ศ 2558 แล้ว และ คาดว่าจะขยายตัวตํ่ากว่า 7% ไปจนถึงปี พ.ศ 2563 )
2) สหรัฐอเมริกา :
2.1) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างมีนัยสําคัญเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินหยวนของจีน
2.2) เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัว 4.1% ในโตรมาส 2/2018 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่มากที่สุดในรอบ 4 ปี อัตราการว่างงานปรับตัวลดลงมาแตะที่ระดับ 4% ซึ่งถือว่าตํ่าสุดในรอบ 18 ปี และ เงินเฟ้อก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 6 ปี และ อยู่ในเป้าหมายเงินเฟ้อของ FED ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 แล้ว
( หมายเหตุ : ในอดีต เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเคยโต 4.00 - 4.50% ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดี Ronald Reagan และ Bill Clinton และ มีผลทำให้ Down Jones ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือ เฟื่องฟูมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ปี ค.ศ 1982 ถึง ปี ค.ศ 2000 โดย Down Jones ปรับตัวจากจุดตํ่าสุดที่ 804 จุดเมื่อเดือน มิถุนายน ปี ค.ศ 1982 ขึ้นมาทําจุดสูงสุดที่ 11,732 จุดในเดือน มีนาคม ปี ค.ศ 2000 หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น = 11,732 / 804 = +14.59 เท่าภายในระยะเวลา 18 ปี สาเหตุที่เศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นเฟื่องฟูในสมัยนั้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเนื่องจากมีการนํานโยบาย " ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ( Neoliberalism ) " เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งลัทธิดังกล่าวมีแนวนโยบายในการลดการแทรกแซงจากภาครัฐและสนับสนุนให้เอกชนมีบทบาทในกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี Ronald Reagan ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ นายกรัฐมนตรีหญิง Margaret Thatcher ของอังกฤษเป็นต้นมา จนเกิดฟองสบู่ดอดคอมในปี ค.ศ 2000 ( - 39.34% ) และ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี ค.ศ 2008 ( -53.79% ) )
2.3) Down Jones และ Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ Donlad Trump ได้รับการเลือกตั้งให้ดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึง วันศุกร์ที่แล้วคือ วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561 ดังนี้ คือ :
2.3.1) Down Jones ได้ปรับตัวจาก 18,589 จุด ถึง 25,313 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 25,313 - 18,589 ) / 18,589 x 100 = +36.17%
2.3.2) Nasdaq ได้ปรับตัวจาก 5,251 จุด ถึง 7,839 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 7,839 - 5,251 ) / 5,251 x 100 = +49.29%
ถ้าเป็นมวยก็เปรียบเสมือนหนึ่งว่า " สหรัฐอเมริกากําลังรุกไล่ต่อยจีนและพยายามไล่ต้อนจีนเข้ามุมเพื่อจะได้ต่อยได้อย่างสะดวกโยธิน ส่วนจีนก็ไม่หมูครับ แม้จะเอาหลังพิงเชือก ทั้งเซและทั้งเป๋! เพราะ โดนหมัดสหรัฐอเมริกาแบบจังๆหลายครั้งแล้ว แต่ก็กัดฟันออกหมัดตอบโต้เป็นบางครั้งบางคราวเหมือนกัน " ไครแพ้ไครชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีก 2 ปี รู้เรื่อง โดยเอาชาติของตัวเองเป็นเดิมพัน งานนี้ไม่มีคําว่า " รอมชอม " หรือ " มวยล้มต้มคนดู " นะครับ มวยคู่นี้โปรโมเตอร์จัดได้ถูกคู่ที่สุดเลย เพราะ เพียงแค่ยกแรกก็ซัดกันมันหยดติ๋งขนาดนี้ คอยดูยกต่อๆไปนะครับ คิดว่าจะมันพะ่ยะ่คะ่ยิ่งกว่านี้อีกเยอะครับ โปรดติดตามชมนะครับ มีสถานีช่อง " ศักดิ์ รูป จอร์จ โซรอส " ช่องนี้ช่องเดียวที่จะถ่ายทอดกันแบบสดๆให้ท่านได้รับชมกันต่อไปน่ะ คร๊าบ!
สําหรับประเทศไทยนั้น ได้ยินแว่วๆจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองบอกว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะโตได้ถึง 5.00% ซึ่งผู้โพสต์คิดว่าถ้าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง 5.00% นั้น รัฐบาลไทย จะต้องเริ่งประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพราะ ถ้ามัวขืนชักช้าเกินไป นอกจากจะไม่ได้ 5%แล้ว ก็ยังมีโอกาสตามหลังลาว, กัมพูชา และ พม่าในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยเด้อ สิบอกไห่!
และ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน หรือไทยก็จะโดนวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงต้นปี พ.ศ 2564 ( เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4.25% ) เมื่อฟองสบู่โลกแตก เพราะ ปัญหาหนี้สินท่วมโลก จนกระทั่งไม่สามารถทนต่อแรงกดดันต่อสภาวะดอกเบี้ยที่สูงๆได้ และ ที่ผ่านมาจะเรียกว่า " แข่งกันไปตาย " หรือ จะเรียกว่า " สูงสุดคืนสู่สามัญ " ก็ได้ นะครับ และ จะทําการล้างบางแล้ว Set Zero กันใหม่หมดในช่วงต้นปี พ.ศ 2565 ( เชื่อไม่เชื่อ ก็ค่อยดูแล้วกันน่ะ คร๊าบ! เดี๋ยวจะหาว่าจอร์จไม่เตือน! คร๊าบ! )
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก ( www.google.com ) และ ( www.bloomberg.com )
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com