เหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยน่าจะไปได้ไกล ถ้าไม่มีความขัดแย้งทางด้านการเมืองในประเทศไทย เพราะ :
1) เป็นไปตามทิศทางของสภาวะตลาดกระทิงของตลาดหุ้นดาวโจนส์และตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากแนวโน้มขาขึ้นรอบใหญ่ของดอกเบี้ย Fed Fund Rate และ เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในโลกเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ จากจุดตํ่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว ( โดยสังเกตุจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และ ค่าระวางเรือ ที่ได้ปรับตัวลงไปทําจุดตํ่าสุดในรอบที่แล้วในช่วงต้น ปี พ.ศ 2559 )
2) การเมืองไทยน่าจะมีความมั่นคง และมีเสถียรภาพมากกว่าเดิม จากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเวลายาวนานมากกว่า 15 - 20 ปี ก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปี พ.ศ 2557 และความชัดเจนของการเลือกตั้งทั่วไปของไทยที่กําลังจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562
3) ปัจจุบัน รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะทําให้ประชาชนไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางโดยการพัฒนา เขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี ( EEC ), โครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท และ ไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น ซึ่งถ้าประสบผลสําเร็จก็จะทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้สูง ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปผลประกอบการของบริษัทฯจดทะเบียนที่ดีขึ้น และ จะมีบริษัทใหม่ๆที่มีขนาดใหญ่ และหลากหลายเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากขึ้นในอนาคต
4) สงครามการค้าโลกระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาน่าจะส่งผลให้นักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในจีนย้ายฐานการลงทุนออกจากจีน แบบหนีตาย ไปยังประเทศอื่นๆรวมทั้งประเทศไทยครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 และมีโอกาศที่จะทําให้ประเทศไทยเข้าสู่ ยุคโชติช่วงชัชวาลครั้งที่ 2 และผู้ที่น่าจะเป็นคนวางรากฐานไว้ก็คือนายกฯ ประยุทธ จันทร์โอชาในการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี ( EEC ) เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นเคยย้ายฐานการผลิตและการลงทุน แบบหนีตาย มายังประเทศอื่นๆรวมทั้งประเทศไทยครั้งใหญ่ครั้งที่ 1 ในช่วงประเทศไทยใน ยุคโชติช่วงชัชวาลครั้งที่ 1 เนื่องจากผลของ Plaza Accord และผู้ที่วางรากฐานไว้ก็คืออดีตนายกฯเปรม ติณสูลานนท์ในการพัฒนาโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด
5) เมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นอินโดนีเซียตํ่ากว่าตลาดหุ้นไทยมาก แต่ในปัจจุบันตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวขึ้นไปอยู่สูงกว่าตลาดหุ้นไทยมาก ทั้งๆที่ความสามารถในการแข่งขันของทั้งสองประเทศนี้ไม่แตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้น ถ้าการเมืองไทยมีความมั่นคง มีเสถียรภาพ และรัฐบาลไทยสามารถผลักดันโครงการต่างๆที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อ 3) ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และ ผลที่จะเกิดขึ้นในข้อ 4) ตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะปรับตัวอยุ่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอินโดนีเซียได้เช่นเดียวกันในอนาคต
6) หุ้นนําตลาดของตลาดหุ้นไทย เช่น หุ้น PTT ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงสุดในขณะนี้ ค่า P/E Ratio ยังตํ่าอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E Ratio เฉลี่ยของทั้งตลาด เพราะฉะนั้นหุ้นนําตลาด เช่น หุ้น PTT ยังโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต และ ก็จะมีผลต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยโดยรวม และ นอกจากหุ้น PTT แล้ว ก็ยังมีหุ้นนําตลาดตัวอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่ที่มีค่า P/E Ratio ยังตํ่าอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกํบค่า P/E เฉลี่ยของทั้งตลาด ซึ่งถ้าหุ้นนําตลาดทั้งหลายทั้งปวงปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต ตลาดหุ้นไทยโดยรวมก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์เอง และ ไม่สามารถรับประกันความถูกต้องได้
หมายเหตุ : โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ ได้ใน longtunbysak.blogspot.com