ว่าด้วยอภิมหาดีลยักษ์ในวงการโทรคมนาคมไทยตอนนี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นการควบรวมระหว่างทรูและดีแทค ค่อยๆเพิ่มดีกรีความร้อนแรง ซึ่งหลังจากที่ กสทช. ได้เปิดรับฟังความเห็นในวงจำกัดรอบแรกจบไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัดในการจัดครั้งที่ 2 ในรอบ “นักวิชาการ” และในครั้งที่ 3 ที่เป็นในส่วนของผู้บริโภค
ซึ่งดูท่าทีแล้วดีลนี้คงไม่ได้จบลงอย่างง่ายดาย เพราะ กสทช.จำเป็นต้องรับฟังเสียงประชาสังคมทุกฝ่ายเพื่อลดข้อกังขาของสังคมในการปฏิบัติหน้าที่ ในขณะเดียวกันในแง่ของการควบรวมของภาคธุรกิจเอง ก็ยังคงดำเนินต่อไปตามโรดแมพที่ถูกกำหนดตามไทม์ไลน์ที่วางไว้
วันนี้จึงจะมาชวนคิดในแง่มุมของคนกลางอย่างดีแทค ดีลนี้หากจะมองในแง่ว่า ควบรวมแล้วจะผูกขาด หรือ ไม่ผูกขาด ถ้านำข้อมูลออกมากางดู จะพบว่าเอไอเอสเป็นผู้นำตลาดหลายจุด หากลักษณะการผูกขาด หมายถึงการเป็นผู้ที่ทำกำไรสูงสุด เกมส์นี้ก็คือ เอไอเอส เป็นผู้ชนะ
ขณะที่ทรูแม้จะมีจำนวนหมายเลขในระบบมากเป็นอันดับ 1 แต่ก็มีการลงทุนต่อเนื่อง และขาดทุนมาตลอด ส่วนดีแทคนั้น คนในวงการโทรคมนาคม หรือผู้บริโภคก็น่าจะพอรู้ว่า ดีแทคประสบปัญหามาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เดินเกมส์พลาดเมื่อครั้งประมูลคลื่น ซึ่งอาจเป็นการพลาดแบบที่ตั้งใจคิดมาดีแล้ว อย่าลืมว่าดีแทคเป็นบริษัทข้ามชาติ การมาลงทุนนอกประเทศ ต้องคิดถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมาเป็นอันดับหนึ่ง อะไรที่ไม่มั่นใจ ความเสี่ยงเยอะ ย่อมมีความ “กลัว” มากกว่าเจ้าของธุรกิจที่ทำธุรกิจในประเทศของตัวเอง
เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ล่าสุดช่วงปีที่แล้ว กับเหตุการณ์การเมืองในพม่า ทางเทเลนอร์ที่ก็ถอนธุรกิจออกไป ก็เพราะรับความเสี่ยงทางการเมืองไม่ไหว ซึ่งหากจะมองในมุมนักลงทุน ผลประกอบการของดีแทค ถึงแม้จะไม่หวือหวา แต่ก็มีกำไรมาโดยตลอด ต่างจากทรู ซึ่งขาดทุนมาตลอดเช่นกัน อาจด้วยภาระค่าใบอนุญาตคลื่นที่ประมูลมา กดกำไรไปอีกแสนนาน และการลงทุนทุ่มตลาดที่ต้องพยายามกวดให้แซงคู่แข่ง ซึ่งทรูก็ตีตื้นขึ้นมาแซงดีแทคเป็นที่ 2 ได้สำเร็จ
แต่ก็นั่นแหละ ทรูก็ยังคงขาดทุน ในขณะที่ดีแทคก็ยังกำไร แต่เป็นกำไรที่หดเล็กลงทุกวันๆ เพราะเสียส่วนแบ่งตลาดให้อีกทั้งทรูและเอไอเอส ทำให้ดีแทคเป็นมวยรองที่มีคลื่นน้อยเป็นรองคู่แข่ง แต่จะให้ลงทุนมาก ก็น่าจะได้ไม่คุ้มเสีย ทำได้แค่ประคองตัวเอง และหวังว่าการประมูลคลื่นเพิ่มเติมในครั้งหน้า จะมีมุมให้พลิกกลับ แต่พอเกิดดีลควบรวมกับทรูขึ้น มันก็ชัดเจนแล้วว่าดีแทคอยากหาทางออกจากตลาดประเทศไทย
น่าคิดว่า ถ้าเราเป็นดีแทค แล้วหมดใจกับตลาดเมืองไทยแล้ว เราจะหาทางลงยังไง ในเมื่อครั้นจะขาย ก็โดนตั้งคำถามเกิดเป็นประเด็นจากสังคม จะรวมกับทรูก็โดนขวาง จะรวมกับเอไอเอสก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ หรือจะให้ไปหารายใหม่มาซื้อในเวลานี้ ใครจะมีสายป่านยาวมากพอที่จะมาลงทุนในธุรกิจสีเลือดนี้ เรื่องนี้เป็นประเด็น ที่ กสทช. เองก็ต้องมีทางลงให้ดีแทคแบบแฟร์เกมส์เหมือนกัน
ธุรกิจโทรคมนาคม เป็นธุรกิจที่ไม่ใช่ใครๆจะเข้ามาได้ง่ายๆ การจะหวังให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเป็นรายที่ 5 (ให้เกียรติ NT ขอนับรวมด้วยแล้วกัน) มันคือธุรกิจของคนมีทุนมหาศาลเท่านั้น หรือต่อให้มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามา ใครจะมาทำ? นอกจากเงินลงทุนหนาที่ต้องมีพร้อมทุ่มแล้ว กว่าจะใช้เวลาทำการตลาด ประมูลคลื่นใบอนุญาต ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่? ถึงเวลานั้นดีแทคถึงจะออกไปได้โดยไม่โดนข้อครหา ตั้งคำถามจากสังคมรึเปล่า?
สุดท้ายแล้วไม่ว่าดีลนี้จะจบยังไง ไม่มีใครรู้อนาคต แต่โดยธรรมชาติของธุรกิจโทรคมนาคมอ่ะ มันเป็นธุรกิจที่ผูกขาดด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ยิ่งในประเทศไทย ก็รู้ๆกันอยู่ เป็นเรื่องตลกร้ายของประเทศไทยเหมือนกันนะ เอกชนทำธุรกิจเป็นหนี้บานตะไท ส่งเงินเข้ารัฐผ่านค่าใบอนุญาตไม่รู้กี่พันล้าน รัฐบาลก็ยิ้มชื่นภูมิใจได้เงินเข้าประเทศ แล้วบอกทุกคนต้องแข่งขันกันนะ ต้องมีคู่แข่งเยอะๆ ถึงจะเป็นตลาดแข่งขันเสรีโดยสมบูรณ์ แต่ลืมหันไปมองสภาพผู้เล่นบางรายที่อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ คงมีแต่เอไอเอสพี่ใหญ่ ที่หนี้น้อย กำไรเยอะ และยังแข็งแกร่งเป็นเจ้าตลาด พอบางรายจะปรับตัว เพื่อทรานฟอร์มไปสู่ธุรกิจที่จะสามารถแข่งขันได้ ก็มีนักวิชาการก็มาโดดขวาง มันก็วนกันไปอยู่แบบนี้ กลับไม่ได้ไปไม่ถึง อนาคตอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยไม่สดใสเอาซะเลย!!