10 อันดับบริษัทกำไรมากสุด
ครึ่งปีแรกในตลาดหุ้นไทย
.
ผ่านไปแล้วสำหรับการประกาศผลประกอบการของรอบงบช่วงไตรมาส 2/66 โดยกำไรสุทธิ 2/66 ของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท ลดลง 17.2%จากไตรมาสก่อน และลดลง 37.4 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ดูเหมือนว่าทิศทางไตรมาส 3/66 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนจะกลับมาโตทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมือง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจ ยังถูกประคองด้วยการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
.
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า จากตัวเลขกำไรสุทธิดังกล่าว ถือว่าใกล้เคียงกับฝ่ายวิจัยคาด โดยกลุ่มที่กดดันได้แก่
1.กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงกลั่นที่ถูกดันจากค่าการกลั่นที่ลดลงมากจากไตรมาก่อน เนื่องจากการปรับฐานของ Crack Spread ทุกชนิด โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง เนื่องจากอุปทานการส่งออกของจีน ไปยังรัสเซียเพิ่มสูงขึ้น
.
2.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะ SCC ที่ฐานไตรมาส 1/66 สูงเพราะมีกำไรพิเศษจากการรวม SCGJWD และ 3.กลุ่มปิโตรเคมี ถูกกดดันจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมันดิบ และภาวะอุปทานล้นตลาดท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอ
.
ส่วนกลุ่มที่เติบโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ 1. กลุ่มธนาคาร ได้แรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น ตามการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ และ NIM ที่เร่งตัวขึ้น และ 2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เติบโตตามยอดขายที่สูงขึ้น รวมถึงความต้องการ Data Center และ Cloud Storage ที่เร่งตัวตามกระแส AI
.
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3/66 คาดว่ากำไรรวมของ SET จะกลับมาโตทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมือง ที่ทำให้การบริโภคในประเทศขาดแรงกระตุ้น แต่ภาพรวมเศรษฐกิจ ยังถูกประคองด้วยการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยกลุ่มธนาคารยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จาก NIM ที่เพิ่มขึ้นและสำรองที่ลดลง,
.
กลุ่มพลังงาน เช่น โรงกลั่น คาดว่าจะขาดทุนจากสต็อกน้ำมันลดลง หรือมีกำไรเล็กน้อยตามทิศทางราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว, กลุ่มโรงไฟฟ้า คาดทยอยฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำเพราะต้นทุนสูงในปีก่อน, กลุ่มการแพทย์จะเริ่มกลับมาโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะเทียบบนฐานกำไรที่ไม่มีผลกระทบจาก COVID-19 เหมือนกัน,
.
กลุ่มสื่อสารเริ่มกลับมาโตจากการแข่งขันด้านราคาที่ลดลง, และกลุ่มค้าปลีก แม้ SSSG จะโตไม่เด่น แต่ได้แรงหนุนจากต้นทุนค่าไฟที่ถูกลงตามค่า FT ซึ่งทั้ง 6 กลุ่มมีสัดส่วน Market Cap. ราว 55% ของ SET INDEX ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะไม่เด่น คือ ปิโตรเคมี สินค้าเกษตร ไฟแนนซ์และยานยนต์
.
ดังนั้นหุ้นแนะนำในเชิงของ Earning Momentum และได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล คือ KBANK, SCB, GPSC, BCH, TRUE, CPAXT, BJC
.
ขณะที่มุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ได้ปรับกำไร SET ปีนี้ลงจาก 1.08 ล้านล้านบาท เหลือ 1.01 ล้านล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 6.3% โดยกำไรปีนี้ ยังขยายตัว 1% (ครั้งก่อน 7.8%) EPS ของตลาดปรับลดจาก 88.1 บาท เป็น 82.5 บาท
.
รวมทั้งเป้าดัชนีฯ ปีนี้ปรับลดจาก 1,687 จุด เหลือ 1,583 จุด ตามประมาณการกำไรที่ลดลง และตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงต่อในช่วงครึ่งปีหลัง จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า จะมีผลต่อการใช้จ่ายและลงทุนในประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบมาถึงกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นได้ (ยอดขายลด + ต้นทุนสูง)
.
อีกทั้ง Bloomberg Survey : EPS ของตลาดหุ้นไทย ถูกปรับลงประมาณ 14% (เหลือประมาณ 90 บาท/หุ้น) จากช่วงต้นปี ฝ่ายวิจัยคาดว่า EPS ที่เป็น Consensus ของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสถูกปรับลดลงได้อีก หลังงาน Analyst Meeting ของหุ้นแต่ละตัวผ่านไป
สำหรับ Highlight ของกำไรตลาดปีนี้ สมมติฐานสำคัญ ในการปรับลดกำไรปีนี้ลงในงวดนี้จะยังคงเป็นเศรษฐกิจ โลกฟื้นตัวช้า (จีน+สหรัฐฯ+ยุโรป) รวมถึงไทย รวมทั้งสงครามยูเครน-รัสเซีย มีผลต่อต้นทุนด้านพลังงานอีกครั้ง แต่ไม่รุนแรงเหมือนปี 65 ขณะที่หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและธนาคาร กำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี เป็นตัวถ่วงกำไรตลาดในปีนี้
.
ด้านกลุ่มที่เคยมีผลประกอบการที่ดี ปีนี้กำไรจะแผ่วลง ได้แก่ โรงพยาบาล (ที่เน้นลูกค้า ประกันสังคม) กลุ่ม non-bank และกลุ่มที่อยู่อาศัย โดยยังเชื่อว่า ปีนี้ผลกระทบด้านต้นทุนผลิต (วัตถุดิบ+น้ำมัน+ค่าไฟ) จะยังสูงกดดัน margin หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ธุรกิจภาคบริการ และอิงท่องเที่ยว จะค่อยๆดีขึ้น
.
Wealthy Thai ได้สำรวจข้อมูลผ่าน SETSMART พบว่า 10 บริษัทที่รายงานกำไรสุทธิมากสุดของช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ในตลาดหุ้นไทยพบว่า PTT ยังคงเป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิมากสุดในตลาดหุ้นไทย แม้ตัวเลขกำไรจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ตาม ตามมาด้วยบริษัทลูกอย่าง PTTEP ที่มีกำไรสุทธิมากสุดเป็นอันดับ 2 ของงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 โดยมีรายละเอียดในตารางดังนี้
