กองทุนชู"โรโบติกส์" เมกะเทรนด์ใหม่ FIF,คาดตลาดหุ่นยนต์โตไม่ต่ำกว่าปีละ 10%
โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย
การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ(โรโบติกส์) ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก มีอัตราการเติบโตเร่งตัวขึ้นอย่างมาก มาอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 15% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้จัดการกองทุนของไทย หันมาให้ความสนใจกับการลงทุนใน theme โรโบติกส์ และปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence:A.I.) มากขึ้น โดยมองเป็นเมกะเทรนด์ใหม่ ของกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ(FIF) ที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะต่อไป
ผู้บริหารกองทุนมองว่า การเติบโตของตลาดโรโบติกส์ จะได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้หุ่นยนต์ของจีน และประเทศในตลาดเกิดใหม่ ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเองไปสู่ Value-added economy จากเดิมที่เน้นการแข่งขันด้วยต้นทุนที่ต่ำ
ขณะเดียวกัน ราคาของหุ่นยนต์ที่ปรับลดลงจากช่วงที่ผ่านมา และการกระจายการใช้หุ่นยนต์ไปสู่ภาคธุรกิจต่างๆ มากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโรโบติกส์ด้วย
"ผมมั่นใจว่ามันเป็นเมกะเทรนด์ที่จะอยู่กับเราไปอย่างน้อยๆ 30-40 ปี ตอนนี้เราอยู่ใน early stage มากๆ มันเป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่กว่าเฮลธ์แคร์ด้วยซ้ำ...มีความเป็นไปได้ที่กองนี้ จะมาเป็นกองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา FIF ในไทย แทนเฮลธ์แคร์" นายคมสัน ผลานุสนธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ-หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวกับ"รอยเตอร์"
เขา ให้ข้อมูลว่า ในช่วงก่อนหน้านี้ การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก เติบโตแค่เฉลี่ยปีละ 5% ในช่วงปี 48-56 แต่หลังจากปี 57 เป็นต้นมา อัตราการใช้หุ่นยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยปีละ 15% เนื่องจากการพัฒนาของ A.I. ทำให้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น และกระจายไปสู่ภาคธุรกิจต่างๆ ทั้งการผลิต การแพทย์ เทคโนโลยี และคมนาคมขนส่ง โดยคาดว่าตลาดโรโบติกส์จะรักษาระดับการเติบโตดังกล่าวไปจนถึงปี 62
จากนั้น ด้วย economy of scale จากการใช้หุ่นยุ่นต์ จะยิ่งทำให้อัตราการเติบโตของธุรกิจโรโบติกส์ เร่งตัวขึ้นอีก
ประกอบกับในการประชุม World Robot Conference ที่จีนเมื่อปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา จีนมีเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่ Value-added economy ด้วยการผลิตและใช้หุ่นยนต์เพิ่มขึ้นปีละ 25% ไปจนถึงปี 68 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญ ที่ทำให้ตลาดโรโบติกส์ขยายตัวขึ้นในช่วงต่อไป
โดยข้อมูลของ AXA Investment Managers พบว่า จีนมีการใช้หุ่นยนต์อยู่เพียง 35 ตัว ต่อแรงงานคน 1 หมื่นคน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 66 ตัว ขณะที่เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา มีการใช้อยู่ 478 ตัว, 314 ตัว, 292 ตัว และ 164 ตัว ต่อแรงงาน 1 หมื่นคน ตามลำดับ
"หลักๆ จะมาจากจีน และพวกประเทศ emerging market ทั้งหลาย ก็ต้องตามจีนมาเช่นกัน ส่วนอเมริกาก็ยังมีศักยภาพในการใช้เพิ่มอีก แต่ตัวหลักๆ ก็จะมาจากจีน เป็น policy ของเขาชัดเจน ว่าจะมาตรงนี้" นายคมสัน กล่าว
**การใช้หุ่นยนต์โตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บลจ.แอสเซท พลัส เพิ่งเสร็จสิ้นการเสนอขายกองทุนเปิด แอสเซทพลัส โรโบติกส์(ASP-ROBOT) ซึ่งบริษัทระบุว่า เป็นบลจ.แห่งแรกของไทยที่ออกกองทุน FIF ใน theme ดังกล่าว และทำยอดขายในช่วง IPO ไปได้ราว 1.28 พันล้านบาท โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในกองทุน AXA World Funds Framlington Robotech ภายใต้การจัดการของ AXA Investment Managers ในสัดส่วนไม่เกิน 79%
ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ และ/หรือ Structured Notes ที่อ้างอิงกับหุ้นในกลุ่มบริษัททั่วโลก ที่เป็นผู้พัฒนาและนำโรโบติกส์ และ A.I. มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ
"ถ้าเอา foresight future ผมว่า 3-5 ปีข้างหน้า ยังเป็นช่วงที่ถือลงทุนไปเลย ราคาหุ้นในกลุ่มนี้น่าจะเติบโตได้เฉลี่ยปีละ 15-20% เป็นอย่างน้อย และใน 3 ปี อาจจะมี 100%" นายคมสัน กล่าว
นอกจากบลจ.แอสเซท พลัส แล้ว ด้านบลจ.ไทยพาณิชย์ ก็เป็นอีกบลจ.หนึ่งที่เพิ่งเสนอขายกองทุนใน theme โรโบติกส์เช่นกัน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล โรโบติกส์(SCBROBO) ซึ่งจะลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ 3 กองทุน คือ กองทุน Global X Robotics & Artificial Intelligence ETF(BOTZ), กองทุน ROBO Global Robotics and Automation(ROBO) และกองทุน iShares Automation & Robotics (RBOT)
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวทำยอดขายในช่วง IPO ได้ราว 1.7 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทมองว่า ธุรกิจเกี่ยวกับโรโบติกส์ เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าอัตราผู้ใช้งานหุ่นยนต์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งคาดว่าตลาดโรโบติกส์ทั่วโลก จะมีอัตราขยายตัวเฉลี่ย 10% ต่อปี ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
"มันเป็นเทรนด์ระยะยาวที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน แต่ช่วงสั้นๆ ก็อาจจะต้องดูจังหวะบ้าง เพราะราคาบางบริษัท ก็ขึ้นมาพอสมควรเหมือนกัน" นายสมิทธ์ กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ด้านนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ มองเช่นกันว่า ธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีในภาพรวม ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากภาวะ digital disruption ในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งธุรกิจโรโบติกส์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ที่มีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า การลงทุนที่เน้นในธุรกิจโรโบติกส์อย่างเดียว อาจจะแคบเกินไป และไม่สามารถกระจายความเสี่ยงออกไปได้ หากเกิดปัจจัยลบเฉพาะตัวกับธุรกิจโรโบติกส์
แต่ถ้ามีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีในภาพรวม แม้ธุรกิจโรโบติกส์จะมีปัจจัยลบเข้ามา ก็ยังจะสับเปลี่ยนไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น Cloud หรือ Gaming ที่เป็นธุรกิจด้านเทคโนโยโลยี ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงได้เช่นกัน
"หุ้นเทคโนฯ เป็นอะไรที่ต้องมี แค่ว่าจะซื้อตอนนี้ หรือจะรอจังหวะเข้าซื้อ เพราะนักลงทุนบางส่วนก็มองว่าหุ้นขึ้นมามากแล้ว แต่ที่เห็นก็คือ แพงแต่ก็ยังขึ้นอยู่ เพราะ earning ในธุรกิจนี้ยัง strong มาก และมันเป็น revolution ของโลก" นายสาห์รัช กล่าวกับ"รอยเตอร์"
บลจ.ทิสโก้ เตรียมที่จะเสนอขายกองทุนทิสโก้ โกลบอลเทค ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีลักษณะเป็น fund of fund โดยเบื้องต้นจะลงทุนในหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีทั่วโลก ผ่านกองทุนในต่างประเทศ 2 กองทุน--จบ--
(โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย รายงานและเรียบเรียง--บร--)