ตลาดหุ้นไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1530 จุดจากความกังวลเกี่ยวจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดระลอกใหม่ที่เพิ่มขึ้นทะลุระดับ 1,500 คนต่อวัน ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 1550 จุดหลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการมาตรของภาครัฐฯ ที่ไม่มีการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่วนทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ น่าจะขึ้นอยู่กับการประกาศผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ SCGP หรือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เพื่อให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร โดยแบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) และ (2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain)
ผลการดำเนินงานปี 63 มีกำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.95 บาท กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 5,268 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.69 บาท
นายกุลเชฎฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดรายได้ปีนี้เติบโต 10% ขึ้นแตะระดับกว่า 1 แสนล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 9.33 หมื่นล้านบาท เนื่องด้วยบริษัทยังคงสร้างการเติบโตแบบ T-Model หรือแนวกว้าง ต้องมีสินค้าและบริการที่หลากหลาย ครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แนวลึกเป็นการดำเนินงานจากปลายน้ำกลับไปสู่ต้นน้ำ ซึ่งบริษัทฯ มีการผลิตเยื่อกระดาษด้วยตัวเอง รวมถึงมีศูนย์รีไซเคิลเพื่อเก็บกระดาษ เพื่อเป็นการสร้าง Supply Chain เพื่อให้ต้นทุนของบริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการควบรวมกิจการกับพันธมิตร Merger&Partnership (M&P) จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ SOVI โรงงานกล่องบรรจุภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม, Go-Pak หนึ่งในผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารรายใหญ่ในแถบสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในเวียดนาม ทำให้ต่อยอดขยายฐานลูกค้าในภาคธุรกิจบริการด้านอาหาร ช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายฐานตลาดในอาเซียน โดยสามารถปิดดีลได้แล้ว ขณะที่ Duytun ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปชั้นนำในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะปิดดีลแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 64 ซึ่งหากควบรวมแล้วเสร็จทั้งหมดจะสร้างรายได้เพิ่มราว 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะใช้รองรับการลงทุนดีล M&P และการขยายกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า และรองรับแนวโน้มตลาดที่มีการเติบโตมากขึ้น และอีก 5 พันล้านบาท เป็นงบประจำปีที่ใช้ในการซ่อมบำรุง โครงการวิจัยพัฒนาสินค้า และโครงการพัฒนาด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
บริษัทฯ ยังมีการลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตเพื่อสร้างการเติบโต ทั้งในไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งจะขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียเพิ่มอีก 400,000 ตัน/ปี และในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตัน/ปี คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2/64 และ 3/64 ตามลำดับ ส่วนบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวจะขยายกำลังการผลิตในเวียดนาม 84 ล้านตารางเมตร/ปี และในไทยอีก 53 ล้านตารางเมตร/ปี ทั้งนี้ที่เวียดนามได้มีการดำเนินงานเสร็จเรียบร้อยแล้วในไตรมาส 4/63 ส่วนในไทยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/64 นี้ ทั้งนี้ส่วนที่ขยายกำลังการผลิตจะช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 9,000 ล้านบาท/ปี
ส่วนแผนการดำเนินงานในอีก 3-5 ปี จะยังคงพัฒนา Solution รวมถึงพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและสร้างโอกาสใหม่ๆ บริษัทวางแผนขยาย T-Model ไปยังต่างประเทศ โดยจะเน้นการขยายไปยังประเทศในอาเซียน ทั้งนี้มีแผนจะขยายโมเดลไปยังเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ก่อน เนื่องจากตลาดมีการเติบโตสูง โดยภาพรวมตลาดในอาเซียน บรรจุภัณฑ์กระดาษยังคงเติบโตได้อีก 4-5 เท่า ส่วนบรรจุภัณฑ์พลาสติกยังเติบโตได้ถึง 5-7 เท่า
ด้านปัญหาเรื่องที่ทางการจีนออกกฎหมายห้ามนำเข้าเศษกระดาษที่ไม่ได้มาตรฐาน ทางบริษัทฯ ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากยังคงบริหารงานด้วยการใส่ใจในมาตรฐาน และมีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตลอดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน และค่าระวางที่สูงขึ้น ส่งผลให้เศษกระดาษมีราคาสูงขึ้นด้วย ทางบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากเป็นบริษัทใหญ่ จึงสามารถกระจายวัตถุดิบได้จากหลายๆ ประเทศ
SCGP มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus อยู่ที่ 50.00 บาท โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 56.00 บาท และมีราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 43.00 บาท
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ 46.00 ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 50.50-51.00 ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 57.00 ตามกรอบแนวโน้มขาขึ้น แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า 45.50 ลงไป จะเป็นสัญญาณขายทางเทคนิค