ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถอดรหัสวิกฤติครั้งใหม่! เศรษฐกิจโลกเข้าใกล้ “Recession” ? โอกาสรอดของไทยท่ามกลางวิกฤต

โดย OttO
เผยแพร่ :
62 views

ถอดรหัสวิกฤติครั้งใหม่! เศรษฐกิจโลกเข้าใกล้ “Recession” ? โอกาสรอดของไทยท่ามกลางวิกฤต

เมื่อวันที่ มิถุนายน  “วารสารการเงินธนาคาร” จัดสัมมนาออนไลน์ “Live Seminar” ถอดรหัสวิกฤติครั้งใหม่! เศรษฐกิจโลกเข้าใกล้ “Recession” ? โอกาสรอดของไทยท่ามกลางวิกฤติ เนื่องในโอกาสที่ วารสารการเงินธนาคาร” ก้าวสู่ทศวรรษที่ 5

 

โดย ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ  ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่  ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

ดร.สมประวิณ กล่าวว่า ธนาคารกลางในหลายประเทศดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น เพื่อสกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ซึ่ง EIC มีการคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในทุกรอบการประชุมที่เหลือของบีนี้ (รวมทั้งสิ้น 7 ครั้งในปี 2022) โดยในการประชุมเดือน มิ.ย. แล: ก.ค. จะขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบละ 50 bps ส่วนการประชุมที่เหลือของปีจะขึ้นอีกครั้งละ 25 bps ส่งผลให้ Fed funds rate จะอยู่ที่ระดับ 2.5-2.75% ณ สิ้นปี 2022 นอกจากนี้ คาดว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2023 สู่ระดับ Terminal rate ที่ 3-3.25% ใน 2023/Q2

“สหรัฐฯมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมาได้ค่อนข้างดี และเงินเฟ้อขึ้นเพราะกำลังซื้อกลับมาซึ่งเห็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในสหรัฐฯตั้งแต่ก่อนมีปัญหาสงครามและตลาดแรงงานก็ค่อนข้างดีเป็นจังหวะที่ทำให้ Fedถอนนโยบายการกระตุ้นได้”

ทั้งนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบ 3 ด้านที่สำคัญต่อตลาดการเงินโลกผ่าน 3 ช่องทาง คือ

  • 1 อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
  • 2เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับสู่สหรัฐตามทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐที่จะปรับสูงต่อเนื่องส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าเทียบกับสกุลเงินเศรษฐกิจกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ในปีนี้

“ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ปรับขึ้นกับประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยทำให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินของประเทศคู่ค้าอ่อนค่า หากส่วนต่างมากค่าเงินประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯจะอ่อนค่ามาก”

  • 3 สภาพคล่องในระบบที่ปรับลดลงตามการทำ QT ของ Fed ส่งผลให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมีแนวโน้มปรับลดลงในระยะต่อไป ผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์ของกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่มีแนวโน้มลดลง

การดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของสหรัฐฯ จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกลดลง โดยในปี 2020-2021 ที่ Fed ทำ QE พบว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับสูงขึ้นในทิศทางเดียวกับสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ส่วนในช่วงที่ fed ทำ quantitative tightening (QT) สภาพคล่องลดลง ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับลลง ในระยะต่อไป คาดว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกรวมถึงไทยมีแนวโน้มผันผวนและอาจปรับลดลงตามสภาพคล่องที่ลดลงอีก ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่งคั่ง (wealth effect) ของทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน

ทั้งนี้การเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เกิดขึ้นและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยจนน่ากังวลใจหรือไม่คำตอบคือไม่ ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระบบการเงินค่อนข้างมากทุนสำรองค่อนข้างเยอะ มีหนี้ต่างประเทศน้อย สภาพคล่องออกนอกประเทศค่อนข้างน้อย

“การถอนสภาพคล่องของสหรัฐอเมริกาจากทั่วโลกนั้นจะยังไม่เห็นการถอนออกไปจากประเทศไทย แต่การถอนนโยบายของสหรัฐฯจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกชะลองตัวลง แปลว่าอุปสงค์หรือความต้องการสินค้าในโลกจะน้อยลง การส่งออกที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยมาตลอดอาจจะชะลอตัวลงได้ในระยะต่อไป”

ดร.สมประวิณ กล่าวอีกว่า การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางจะเผชิญกับความท้าทายสูง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกปัจุบันอยู่ในภาวะอ่อนแอและยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูงส่งผลให้เศรษฐกิจมีความเปราะบางต่อปัจจัยอื่น ๆ (Exogenous Shocks) นอกเหนือจาก tightening cycle อยู่มาก

 

ทั้งนี้ธนาคารกลางเผชิญความยากลำบากในการดำเนินนโยบาย โดยบางประเทศต้องเผชิญเลือกระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อ และการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  โดยธนาคารกลางต่างๆมีแนวโน้มดำเนินนโยบายที่ตึงตัวมากขึ้น (Higher risks of Policy Mistake) เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารกลางได้ดำเนินนโยบายตึงตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น (behind the curve) ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมากและต่อเนื่อง จนทำให้หลาย ๆ แห่งจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่ตึงตัวเร็ว (เช่น ขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง) จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

“การดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้นอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้ โดยในอดีตได้เคยเกิดภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยที่มีต้นตอจากนโยบายการ(Policy Mistake) ซึ่งตามสถิติพบว่าในรอบ 40 ปีการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นรวมแล้ว 16 ครั้ง และนำไปสู่ Recession รวม 13 ครั้ง”

โดยจากสถิติในอดีตที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์พยายามทำความเข้าใจว่าเพราะอะไร ก็ได้ข้อสรุปว่าอาจจะเกิดจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดและอาจจะดำเนินนโยบายโดยมองประเทศตัวเองซึ่งอย่าลืมว่าเมื่อประเทศหนึ่งถอนประเทศอื่นถอนด้วยทำให้การตึงตัวของสภาพเศรษฐกิจมีมากกว่าที่คาด ถ้ามองว่าเกิด Recession มีโอกาสเกิดได้ แต่คงไม่เกิดเร็วมองยาวๆก็คาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงได้

“ Recession คือภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังไม่เรียกว่าเป็นวิกฤต  Recession เป็นการชะลอตัวลงหรืออ่อนแรงลงหรือไม่สบาย แตกต่างกับวิกฤตที่มาทันทีเช่น โควิดหรือซับไพรม์ ซึ่งเมื่อเรารู้ว่าจะชะลอก็เตรียมตัวให้แข็งแรงก่อนได้ การชะลอตัวลงอาจจะไม่น่ากังวลเท่าวิกฤต และหากจะมองวิกฤตทางเศรษฐกิจยังมองไม่เห็น แต่อาจจะมีวิกฤตอื่นเกิดขึ้นได้ เช่น สงคราม ที่ท้ายที่สุดอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอยู่ดี”

ส่วนความแตกต่างระหว่าง Recession และ Stagflation นั้นไม่ดีต่อประชาชนทั้งคู่ นิยามว่า ของแพงค่าแรงถูกอาจจะตรงกับคำว่า Stagflation แต่ Recession คือของไม่แพงแต่ขายไม่ออก ของราคาต่ำแต่ก็ไม่มีเงินซื้ออยู่ดี ถ้ามองในแง่การทำนโยบายในภาวะ Stagflation ยากกว่า เพราะการดำเนินนโยบายในภาวะRecession คือการใช้ดอกเบี้ยกดเงินเฟ้อที่สูงลงมาแต่ Stagflation หากใช้ดอกเบี้ยขึ้นลดเงินเฟ้อลงมาได้แต่เงินในกระเป๋าก็น้อยลงไปด้วย การทำนโยบายค่อนข้างลำบาก

หากมองประเทศที่ฟื้นจากโควิดได้แล้วไม่น่าห่วงเพราะเงินเฟ้อที่สูงมาจากคนที่แย่งซื้อของกันใช้ดอกเบี้ยชะลอได้ แต่ยังมีกลุ่มประเทศที่ฟื้นช้า เช่นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่รวมถึงประเทศไทยด้วยที่มีรายได้ต่ำกว่าก่อนโควิด ซึ่ง EIC คาดว่าจีดีพีไทยจะกลับไปช่วงก่อนโควิดได้ก็คือกลางปี 2566 รายรับยังน้อยกว่าที่เคยได้รับและรายจ่ายเยอะขึ้น การทำนโยบายจึงยากเพราะถ้ากระตุ้นก็กังวลว่าจะเกิดปัญหาเงินเฟ้อ ถ้าไม่กระตุ้นจะกังวัลว่าเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งไทยอาจจะยังไม่เผชิญเพราะยังเติบโตอยู่แต่เป็นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“กนง.เริ่มส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อมากเกินไปอาจจะทำร้ายผู้บริโภคซึ่งส่งสัญญาณว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยยอมให้เศรษฐกิจชะลอลงแลกกับเงินเฟ้อที่ไม่ทำให้ดึงเงินออกจากกระเป๋ามากจนเกินไป”

ดร.สมประวิณ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้โอกาสที่จะเห็นกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจจะเห็นในไตรมาส 3 ของปีนี้แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ไปสกัดดีมานด์ หากขึ้นเป็น 0.75 % ก็ยังเป็นอัตราที่ต่ำแต่เป็นการส่งสัญญาณต่อการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางห่วงปัญหาเงินเฟ้อ ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะถ้าปล่อยให้เงินเฟ้อขึ้นจาก 7 % เป็น 8 – 9  % ไปเรื่อยๆคนจะยิ่งตกใจได้

ทั้งนี้สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์กลัวคือการตกใจและทำให้เกิดการขึ้นค่าจ้างขึ้นราคาสินค้า ทุกอย่างเพิ่มขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นท้ายที่สุดจะก่อให้เกิด wage price spiral การขึ้นดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นเป็นการสกัดไว้ การขึ้นดอกเบี้ยทำได้แต่ต้องมาพร้อมการสื่อสารว่าขึ้นไปเพื่ออะไร ซึ่งวันนี้เราเห็นการสื่อสารที่ออกมาแล้วว่าสถานการณ์เปลี่ยน กนง.กังวลใจไม่ได้นิ่งนอนใจซึ่งหากปรับดอกเบี้ยขึ้นผลกระทบทางเศรษฐกิจมีไม่มากหากขึ้น 0.25%

“สิ่งที่กนง.ส่งสัญญาณออกมาไม่เหมือนกับ Fed เพราะFed จะบอกว่าขึ้นต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อปรับลง สำหรับประเทศไทยมีการสื่อสารออกมาว่า วันนี้กังวลใจกับสถานการณ์เปลี่ยนไปจะประเมินเพื่อปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งแปลว่า กนง.ไม่ได้บอกว่าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องดังนั้นผลจะไม่เหมือนกัน ซึ่งเชื่อว่ากนง.จะปรับขึ้นและรอดู”

 

 

ด้านดร.อมรเทพ เผยว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในรอบที่ผ่านมาได้มีการส่งสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐยังร้อนแรง โดยคาดว่าเงินเฟ้อของสหรัฐอาจแตะจุดสูงสุดในเดือนมิ.ย. - ก.ค. 65 ดังนั้นในการประชุมเฟดในวันที่ 14-15 มิ.ย. นี้มองว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้นที่ 0.50%  อย่างไรก็ตามคาดว่าไม่มากพอที่จะกดเงินเฟ้อให้ลงต่ำลงจาก 8% เหลือ 2% ได้

ทั้งนี้การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐเป็นการสกัดเงินเฟ้อฝั่งอุปสงค์ซึ่งขึ้นเมื่อดอกเบี้ยจะเกิดการการระมัดระวังเรื่องการลงทุน การบริโภค ส่งผลให้การจ้างงานไม่ร้อนแรงซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว อย่างไรก็ตามยังไม่ชะลอจนถึงขั้นน่ากังวลโดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวที่ 2% ในปี 2565 ขณะที่ปี 2566 จะต่ำกว่า 2% เป็นการ Soft Landing คือการค่อยๆขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อไม่ใช่ Recession

“โจทย์ใหญ่ของวันนี้คือเรื่อง Recession ที่มาจากความกังวลจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจขยายตัวได้ขณะที่เงินเฟ้อแม้มาจากฝั่งอุปทาน คืออาหาร น้ำมัน สินค้าต่างๆ แต่ก็มาจากอุปสงค์ด้วยคือคนมีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ก็เป็นไปได้แต่คงไม่แรงขนาดขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75% แต่คาดว่าจะขึ้นที่ 0.50% โดยถ้าใช้ยาแรงเกินไปหรือขึ้น 0.75% เพื่อหวังให้เงินเฟ้อลงมาเร็ว สิ่งที่จะตามมาคือคนระมัดระวังการบริโภคและการลงทุน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะชะลอในครึ่งหลังของปี 2566”

ดร. อมรเทพ กล่าวต่อว่าในปีหน้าเศรษฐกิจโลกไม่ได้เข้าสู่การเกิด Recession แต่เป็นการที่เศรษฐกิจเติบโตได้ช้าลง โดยอาจมีความเสี่ยงจากการที่สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยแรงเกินไปแล้วลามไปสู่ปัญหาเรื่อง Housing เพราะคนจะจ่ายหนี้ไม่ไหวทำให้เกิดหนี้เสียแล้วกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐจนคนกังวลว่าจะเกิดวิกฤตได้ อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวไม่ได้เป็นสูตรตายตัวว่าสหรัฐจะเข้าสู่ Recession เนื่องจากเมื่อสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงจุดที่เศรษฐชะลอตัวแล้วยังมีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยลงได้

“แม้สหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50-0.75%  ถึงกลางปีหน้าก็มีโอกาสลดลงได้ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอ ดังนั้นไม่ได้มองว่าเป็นสูตรตายตัวว่าสหรัฐจะเข้าสู่ Recession เพราะเขายังมีเครื่องมืออยู่”

สำหรับความเสี่ยงอีกด้านคือเศรษฐกิจจีน โดยคาดว่าศรษกิจจีนจะโตที่ 4% โดยจะชะลอในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากปัญหาการล็อกดาวน์ทำให้คนระวังการบริโภค การเดินทาง การลงทุนเกิดได้น้อย ปัญหา supply chain disruption อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนมีเครื่องมือที่ทำให้ไม่ให้เกิด Recession อยู่ 4 มาตรการ ได้แก่

  • 1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยการเร่งการสร้างสาธารณูปโภค เช่น รถยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ ตลอดจนขนส่งมวลชนที่เป็นระบบไฟฟ้าซึ่งจะเป็นโอกาสในการลงทุนของจีน
  • 2.อสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กและขนาดกลางตลอดจนการลดดอกเบี้ยหรือเพิ่มแรงจูงใจให้คนซื้อบ้าน
  • 3.ภาษี SMEs จีนพยายามเน้นการเติมโตจากภายใน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กมีโอกาสเติบโตได้ รวมถึงมาตรการด้านภาษีจะจูงใจให้เกิดการจ้างงานการลงทุนในกลุ่มนี้
  • 4.การส่งออก ยังทำได้แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอโดยจีนอาจใช้นโยบายการส่งออกแบบหยวนอ่อน

ดร. อมรเทพ ยังได้กล่าวถึงภาวะRecession และ Stagflation จากเศรษฐกิจโลกที่จะมากระทบกับเศรษฐกิจไทยว่า เป็นความโชคไม่ดีของไทยที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนโควิดในไตรมาส 2 ของปี 2566 ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ เช่น เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจนกระทบกับการบริโภค ตลอดจนการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

“ความไม่โชคดีของไทยคือเรายังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่เป็นประเทศท้ายๆในภูมิภาคที่จะฟื้นตัวถึงระดับก่อนโควิด โดยการฟื้นตัวมาจากการส่งออกขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ เช่น เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงกระทบกับการบริโภค คนระมัดระวังการใช้จ่าย บวกกับกำลังซื้อของประชาชนทีอ่อนแอ ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้เศรษฐกิจ ไทยชะลอลงหนักขึ้น”

ในด้านปัญหาเงินเฟ้อของไทยแบ่งได้เป็น 3 เฟส  โดยเฟสแรกคือ เงินเฟ้อจากราคาน้ำมัน หรือ Oil Inflation ที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีซึ่งน้ำมันเป็นต้นทุนของการขนส่งและการผลิตทำให้เงินเฟ้อของไทยเร่งตัวเร็วขึ้น ขณะที่เฟสที่ 2 คือเงินเฟ้อจากราคาอาหาร หรือ Food Inflation จากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นเร็วต่อเนื่องโดนมาจากอาหารสัตว์และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

“ทั้งน้ำมันและอาหารก็มาจากฝั่งอุปทานคือเรื่องวัตถุดิบหรือ Cost Push Inflation โดยการใช้นโยบายการเงินจะไปแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ดีหากมาจากฝั่งอุปสงค์ หรือ Demand Pull Inflation เพื่อให้คนชะลอการลงทุนเพื่อลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่ถ้ามาจากฝั่งอุปทานจะทำได้ยาก”

ทั้งนี้ปัจจุบันไทยกำลังเข้าสู่เงินเฟ้อในเฟส 3 คือ Demand Pull Inflation คือการที่เศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศเริ่มดีขึ้นเพราะเริ่มเห็นการเปิดเมือง คนเริ่มกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยคาดว่าในไตรมาส 3 ปี 2565 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ 4% ทั้งปีโตได้ 3% และมีโอกาสที่จะโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566

“เมื่อเกิดปัญหาเงินเฟ้อผู้ดำเนินนโยบายการเงินต้องดูแล้วว่าจะแตะเบรคตอนไหน ตอนนี้เงินเฟ้อของไทยกำลังอยู่กลางทางแต่ต้องมาตามสหรัฐด้วยการแตะเบรคหรือขึ้นดอกเบี้ยเพื่อพยายามลดปัญหาเงินเฟ้อ ดังนั้นในการประชุมที่ผ่านมา กนง. จึงเสียงแตก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 3 เพื่อชะลอไม่ให้เงินเฟ้อเร่งขึ้นแรงเกินไป ที่น่ากังวลคือหากกดเงินเฟ้อลงไม่ได้แล้วปีหน้าเร่งตัวไปถึงระดับ 3%  อาจจะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสะกัดเงินเฟ้อแล้วจะทำให้คนตกใจและกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว”

ดร. อมรเทพ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจะมีทั้งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบและอุตสากรรมที่ได้รับโอกาส โดยอุตสากรรมที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่

  • 1.การส่งออก โดยการส่งออกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก สินค้าที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ อาหาร มันสำปะหลัง ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าโภคภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เหล็ก พลาสติก
  • 2.อุปสงค์ในประเทศที่ชะลอจะกระทบกับกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียมราคา 1-3 ล้านบาท ความเชื่อมั่นสินค้าขนากลาง-ใหญ่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ อัญมณี รถยนต์ และอุตสาหกรรมค้าปลีก
  • 3.ท่องเที่ยว กระทบธุรกิจที่เกี่ยวข้องจากการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม 3 ดาว สายการบิน สปา เช่ารถยนต์ ซ่อมแซมบ้าน การลงทุนก่อสร้าง

สำหรับอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาส กลุ่ม สินค้าอาหาร อาหารแปรรูป โรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ สินค้าคมนาคม เช่น รถมือสอง บ้านเดี่ยว

“ปัญหา Recession ตัวไม่ใช่วิกฤตอาจมีบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบบ้างแต่ยังมีอุตสาหกรรมที่ได้รับโอกาส ต้องหาจังหวะในการลงทุนกลุ่มที่กำลังซื้อยังมีและสามารถที่จะประคองตัวไปได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอ”

 

ดรอมรเทพ กล่าวว่า สำรหรับมุมมองการลุงทุนเพื่อรับความไม่แน่นอนจากการขึ้นดอกเบี้ยในช่วง soft landing ได้แก่ 1.กลุ่ม value stock เน้นกระจายการลงทุนทั่วโลก 2.กลุ่ม RETT รับค่าเช่าอสังหาที่ฟื้นหลังเปิดเมืองในเอเชีย  3.กลุ่มเทคโนโลยีในจีนที่มูลค่าน่าดึงดูดและโอกาสเติบโตหลังคลายล็อกดาวน์ 4.ตราสารหนี้ระยะสั้นเตรียมพักไว้ในช่วงผันผวนแล้วรอจังหวะเข้าไปสะสมในกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว

สำหรับความกังวลเรื่องจุดพีคของอัตราเงินเฟ้อที่มักมาพร้อมกับจุดพีคของตลาดหุ้นไทยนั้น เรามองเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3% ปีหน้าโต 4% โดยการเร่งตัวของเศรษฐกิจคาดว่าจะเห็นได้ในปีหน้า ขณะที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวในไตรมาส 3 ของปีนี้แล้วชะลอตัวลงได้ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากังวลเนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นที่มาสนับสนุนตลาดหุ้นไทย เช่น การเปิดเมือง ตลอดจนแบงก์ที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย คิดว่ายังเป็นโอกาสของตลาดหุ้นไทย

 

#LIVE ถอดรหัสวิกฤติครั้งใหม่! เศรษฐกิจโลกเข้าใกล้ Recession? โอกาสรอดของไทยท่ามกลางวิกฤต

 

 

 

 

 

 


OttO