15 ข้อเก็บตก หยิบมาจากทริปอิสราเอล
1.ก่อนไปตามรอยประวัติศาสตร์ ควรศึกษาเรื่องราว ความเป็นมาและความสำคัญของสถานที่ต่างๆ จะได้อินตอนเดินทัวร์ แทบทุกตารางนิ้วของที่นี่ล้วนพัวพันกับประวัติศาสตร์โลก
2.ไปเที่ยวอิสราเอลไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด เพียงแค่ควรมองซ้าย มองขวา หรือดูๆ คนรอบตัวไว้บ้าง ซึ่งจะมีฟิลของความตื่นเต้นมาผสมตลอดเวลา อาจเพราะหนังฮอลลีวูดนำบรรยากาศแนวนี้ไปใส่ในภาพยนต์เยอะ
3. ในเมืองและสถานที่สำคัญจะมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจติดอาวุธ เดินตรวจตราความเรียบร้อยตลอด เราเป็นนักท่องเที่ยวอย่าไปทำตัวให้มีพิรุธ
4. ภาษาหลักที่ใช้ คือ ภาษาฮีบรูและภาษาอาหรับ แต่ตามเมืองท่องเที่ยว โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร พนักงานก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
5.ในอิสราเอลประกอบด้วยประชากรชาวยิวกว่า 70% ผสมผสานกับชาวอาหรับกว่า 20% และอีกไม่ถึง 10% เป็นชนชาติอื่นๆ นั่นคือการกลับมาสู่ดินแดนนี้ของชาวยิวทั่วโลกที่มาเริ่มจริงจังหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องราวในอดีตของดินแดนนี้และเชื้อชาติของผู้คนที่มาๆไปน่าศึกษาอย่างจริงจัง แล้วจะเห็นภาพรวมของโลกนี้ ว่าปัญหาเกิดจากอะไร
6. อิสราเอลเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงสุดในตะวันออกกลางและเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย เพราะฉะนั้นข้าวของค่อนข้างราคาสูง ให้เตรียมใจไว้เลย (1 นิวเชเกล = 9 บาท) ว่ากันว่าคนที่นี่ตั้งราคาสินค้าแบบตามใจฉันดูให้ดีก่อนซื้อ และก็สามารถต่อรองราคาได้ ใช้สกิลตรงนี้ให้มากๆ
7.ปาเลสไตน์คือดินแดนที่แยกออกเป็น 2 ส่วน ที่อิสราเอลจะกั้นกำแพงสูงในพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยง ส่วนหนึ่งติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคือ Gaza และอีกส่วนอยู่ติดกับดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ Jerusalem คือ West Bank โดยทั้งสองพื้นนี้ไม่ได้ติดกัน มีดินแดนอิสราเอลแทรกกลาง ยังงงๆเรื่องการเดินทางหาสู่กันอยู่เหมือนกัน
8. อิสราเอลมีเมืองน่าเที่ยวหลายเมืองอย่าง ถ้าชอบตามรอยประวัติศาสตร์ให้ไป Nazareth, Bethlehem, Jerusalem ถ้าชอบชายหาดตากอากาศให้ไป Tel Aviv ถ้าชอบย่านเมืองเจริญให้ไป Haifa รวมถึงการไปลอยตัวในทะเล Dead Sea
9.Jerusalem คือสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับหลายศาสนา มีบันทึกอยู่ในคัมภีร์ในตำแหน่งต่างๆ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีการตรวจตราอย่างละเอียดก่อนเข้าด้วยเครื่องตรวจอาวุธ มีกำแพงร้องไห้ที่ยังใช้ประกอบพิธีกรรม มีโดมทองที่สร้างบนความเชื่อและห้ามเข้าเพื่อป้องกันความขัดแย้งบานปลาย และยังมีอุโมงค์ใต้ดินเพื่อมุดลอดดินแดนต้องห้ามนี้ไปสู่ตลาดท้องถิ่นที่คนยังใช้ชีวิตประจำวันในบรรยากาศที่อบอวนด้วยประวัติศาสตร์ เสน่ห์มีให้เจอรอบตัว หาจังหวะดีๆไปให้เจอกับตาตนเองซักครั้งเหอะ
10.Tel Aviv คือเมืองที่ติดทะเลสวย หาดทอดตัวยาวเหยียด ด้วยความที่เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ จึงรายล้อมด้วยตึกสูง ส่วนเมืองHaifa เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดทางเหนือของอิสราเอล ประชากรประมาณ 3 แสนคน ซึ่ง 90% เป็นคนเชื้อสายยิว มีเพียง 10% เท่านั้น ที่เป็นอาหรับ เมืองนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี่ เป็นที่ตั้งของทั้ง Google, Yahoo ,Microsoft, IBM เป็นต้น แต่ละเมืองจะมีความน่าสนใจที่ต่างกัน ทั้งสองเมืองนี้เดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาราวชั่วโมงนิดๆ ถ้ารถไม่ติด
11. สถานที่สำคัญทางประวัติศาตร์ในเมือง Jerusalem ควรมีไกด์ท้องถิ่นนำเที่ยวจะปลอดภัยและสบายใจกว่าเราเดินไปไหนมาไหนเอง เนื่องจากบางที่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอาจไม่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว และไกด์ท้องถิ่นจะให้ข้อมูลต่างๆ ได้ดี
12. ถ้าฝนทำท่าจะตก โปรดหยิบร่มติดมือก่อนออกจากโรงแรม "ร่มที่นี่จะแพงสุดๆ เมื่อฝนตก" (โดนมาแล้วอันละ 20$)
13. อิสราเอลมีการใช้ไอรอน โดม(Iron Dome) ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศ มาใช้สกัดกั้นและทำลายจรวดขีปนาวุธและกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงมาจากระยะ 4-70 กม. ฐานยิงมีรัศมีป้องกัน 150 ตร.กม. ซึ่งไอรอน โดมนี้สามารถสกัดจรวดที่ยิงมาจากฉนวนกาซ่าได้มากกว่า 90% เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยว สามารถสบายใจได้ว่า(น่าจะ) ปลอดภัยจากการโจมตีดังกล่าว
14. อิสราเองจะเข้มงวดกันการตรวจคนเข้า-ออกเมืองมาก หากไปเที่ยวกับเรื่อสำราญผู้โดยสารแต่ละคนต้องถือพาสปอร์ตและผ่านพิธีการทางตม. เหมือนที่สนามบิน
ส่วนขากลับหากกลับทางเรือก่อนขึ้นเรือจะมรเจ้าหน้าที่ตม.คอยตรวจพาสปอร์ตก่อนขึ้นเรือทุกคน
15. หากเดินทางเข้า-ออกทางเครื่องบิน ก็ให้เผื่อเวลาที่สนามบินเยอะหน่อย ซัก 3-4 ชั่วโมง เพราะจะมีขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งการสัมภาษณ์ ถามแล้วถามอีก ตรวจสอบกระเป๋าอย่างละเอียด ตรวจแล้วตรวจอีก ให้เตรียมใจกันไว้ก่อนเลย