วิเคราะห์หุ้น “อิเล็กทรอนิกส์”
ไตรมาส 3/65 คาด DELTA กำไรโตแค่บริษัทเดียว

.
หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นกลุ่มที่ได้รับกระแสความนิยมจากนักลงทุนจำนวนมาก เพราะในช่วงนั้นถือว่าราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนว่ามรสุมเข้ามากระแทกหุ้นกลุ่มนี้อย่างจัง เพราะผลกระทบสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนในภาคการผลิต
.
ไม่เพียงแค่นี้ ในช่วงที่ประเทศจีนประกาศล็อกดาวน์ หุ้นกลุ่มนี้ก็ถูกเทขายอีกด้วย จนทำให้นักลงทุนหลายๆ คนในช่วงเวลานั้นติดหุ้นเหล่านี้ในราคาที่สูง ดังนั้น Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจความน่าสนใจหุ้นในกลุ่มนี้ ว่าจะยังมีเสน่ห์ให้นักลงทุนเข้าสะสมหรือไม่ และผลประกอบการไตรมาส 3/65 ใครกันบ้างที่จะเติบโต
.
หากอ้างอิงจากการประเมินของนักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ที่ออกมาเปิดเผยว่า ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกผ่านจุดสูงสุดในปี 2564 และได้ชะลอตัวลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา จากอุปสงค์ที่ลดลงหลังเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ จากความขัดแย้งระหว่ำงรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาขาดแคลนพลังงานทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อที่สูง เป็นต้น ประมาณการการเติบโตของอุตสาหกรรมถูกปรับลงอย่างมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
.
โดยประมาณการเติบโตปี 2565 ถูกปรับลดลงประมาณ 5% ขณะที่บางส่วนเริ่มมองการเติบโตติดลบในปี 2566 ในรายธุรกิจเชื่อว่าธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และคลาวด์นั้นแข็งแกร่งที่สุดและมีแนวโน้มที่มั่นคง ธุรกิจยานยนต์ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและอยู่ในช่วงฟื้นตัว ขณะที่ฝั่งสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ (PC) อ่อนแอที่สุด
.
ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 3/2565 ของกลุ่มธุรกิจจะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน โดยคาดว่ากำไรของกลุ่มธุรกิจจะมีมูลค่ารวม 6.33 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 110%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16.9% จากไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของ DELTA ขณะที่คาดว่ากำไรของบริษัทอีก 3 แห่งจะลดลงจากช่วงเดียวปกันของปีก่อน ส่วนการเติบโตของกำไรเชิงจากไตรมาสก่อน น่าจะได้รับแรงหนุนจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง
.
DELTA นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 4.74 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20.9%จากไตรมาสก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์สองไตรมาสติดต่อกัน คำสั่งซื้อยังคงแข็งแกร่งสำหรับชิ้นส่วน EV พัดลมอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูล
.
โดยยอดสั่งผลิตพัดลมน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนที่บรรเทาลง และการกลับมาผลิตของโรงงานหมายเลข 6 หลังจากใช้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ชั่วคราว คาดว่ายอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 31.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4.1%จากไตรมาสก่อน
.
HANA นักวิเคราะห์คาดกำไรจะลดลง 11.3%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 3.1%จากไตรมาสก่อน เป็น 622 ล้านบาท คาดว่ายอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะลดลง 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4.8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการเซมิคอนดักเตอร์และการประกอบเมนบอร์ดที่อ่อนแอจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
.
โดยความต้องการสมาร์ทโฟนและพีซี โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ Android และผู้จาหน่ายในจีนนั้นอ่อนแอ คำสั่งซื้อน่าจะลดลงจากสต็อกเซมิคอนดักเตอร์ที่สูงในห่วงโซ่อุปทาน คาดว่ายอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะลดลง 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4.8%จากไตรมาสก่อน
.
KCE นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจะลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เป็น 588 ล้านบาท และคาดว่ายอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 11.7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลง 5.3%จากไตรมาสก่อน จากคำสั่งซื้อที่ลดลง อันเป็นผลมาจากปัญหาชิปขาดแคลนในการผลิตรถยนต์ทั่วโลก และอัตราการผลิตในยุโรปที่ต่ำ
.
SVI นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 381 ล้านบาท ลดลง 24.2%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่สูงเป็นผลมาจากการปรับขึ้น ASP ในช่วงต้นไตรมาส 3/2564 แต่เพิ่มขึ้น 31.3%จากไตรมาสก่อน จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัว คาดว่ายอดขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 33.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3.4%จากไตรมาสก่อน จากกลุ่มควบคุมอุตสาหกรรม สื่อสาร และยานยนต์ รวมถึงกลุ่มเครื่องเสียงหลังจากเข้าซื้อกิจการ Tohoku Solution ตั้งแต่ปลายปี 2564
.
ดังนั้นคงคำแนะนำ “เป็นกลาง” ต่อแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ เชื่อว่าอุตสาหกรรมไม่ได้สดใสเหมือนในปี 2564 อีกต่อไป และอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะเคลื่อนไหวช้ากว่าตลาด นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์ในการเลือกซื้อ เนื่องจากบางบริษัทจะได้รับผลกระทบทางลบน้อยกว่าบริษัทอื่น และบางแห่งอาจรายงานกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
.
• ลดคำแนะนำสำหรับ DELTA จำก “ซื้อ” เป็น “ถือ” และปรับลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยจาก 726 บาท เป็น 710 บาท แนะนำให้นักลงทุนล็อคกำไรบางส่วนและถือหุ้นที่เหลือหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2565
• คงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ HANA และลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยจาก 43 บาทเป็น 42 บาท ลดเป้า PER จาก 13.7 เท่า เป็น 11.7 เท่า เพื่อสะท้อนการหดตัวที่อาจเกิดขึ้นของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2566
• คงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ KCE และลดราคาเป้าหมายจาก 57 บาท เป็น 49 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณกำไรและแนวโน้มที่อ่อนแอในครึ่งปีหลัง ลดเป้า PER ลงเป็น 19.2 เท่า จาก 23 เท่า
• ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ SVI เป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” และเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 7.3 บาท เป็น 8.8 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไร เชื่อว่ากำไรไตรมาส 3/2565 ที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น