ตลาดหุ้นปิดลบ แต่ทำไมข้างใน 'เดือด' ยิ่งกว่าเดิม? เจาะเบื้องหลังความผันผวนที่คุณต้องรู้! | Podcast Available
สวัสดีค่ะทุกคน ใครที่ตามข่าวอยู่คงจะเห็นว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาตลาดค่อนข้างผันพวนน่าดูเลยทีเดียว แม้ว่าตอนปิดตลาด ดัชนีหลักๆ จะดูเหมือนติดลบไปไม่มาก แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่เพียบเลยค่ะ มาเจาะลึกไปพร้อมๆ กันเลยนะคะ
_______________________________________________________

AI Executive Summary
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะความผันผวนสูง แม้ดัชนีหลักจะปิดลบเพียงเล็กน้อยก็ตาม สภาวะดังกล่าวสะท้อนถึงความขัดแย้งภายในตลาดระหว่างแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Megacaps) และแรงช้อนซื้อในช่วงท้ายตลาด โดยมีปัจจัยสำคัญที่สุดคือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งทุกฝ่ายกำลังจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ณ การประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล เป็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญ (Key Findings)
ความกังวลด้านเงินเฟ้อของ Fed: รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC Minutes) ครั้งล่าสุดชี้ว่า กรรมการส่วนใหญ่ยังคงกังวลต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมากกว่าความเสี่ยงของตลาดแรงงานที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นท่าทีที่แข็งกร้าว (Hawkish) และสวนทางกับความคาดหวังของตลาดที่ต้องการเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ววัน
ความเปราะบางของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี: ตลาดถูกกดดันอย่างหนักจากการเทขายทำกำไรในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ ซึ่งมีน้ำหนักต่อดัชนีสูง ประกอบกับคำเตือนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง โฮเวิร์ด มาร์กส์ เกี่ยวกับ "ภาวะฟองสบู่ในระยะเริ่มต้น" ได้สร้างความกังวลเพิ่มเติมถึงมูลค่า (Valuation) ของหุ้นในกลุ่มนี้
สัญญาณที่แตกต่างจากภาคธุรกิจ: ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มค้าปลีกสินค้าราคาประหยัด (TJX) เติบโตได้ดี สวนทางกับกลุ่มค้าปลีกทั่วไป (Target) และสินค้าฟุ่มเฟือย (Estée Lauder) ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังมากขึ้นท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ความขัดแย้งของนักลงทุน: การที่ดัชนีสามารถฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในระหว่างวันได้ แสดงให้เห็นว่ายังมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง (Dip-buyers) ที่มองว่าการปรับฐานเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นโดยรวมยังคงเปราะบางและเสียงแตก
บทสรุปและแนวโน้ม (Conclusion & Outlook):
ทิศทางของตลาดในระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับการส่งสัญญาณของ เจอโรม พาวเวลล์ ที่แจ็กสัน โฮล เป็นหลัก หากยังคงย้ำจุดยืนที่กังวลต่อเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก อาจสร้างความผิดหวังและนำไปสู่แรงเทขายในวงกว้างได้ ในทางกลับกัน หากมีการส่งสัญญาณที่ผ่อนคลายมากขึ้น ก็อาจช่วยหนุนตลาดให้ฟื้นตัว ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินการตัดสินใจของ Fed ในการประชุมครั้งต่อไป
_______________________________________________________
สถานการณ์ตลาด: ปิดลบเล็กน้อย หลังมีแรงช้อนซื้อช่วงท้าย
บรรยากาศการลงทุนเมื่อคืนนี้ต้องบอกว่าเหมือนนั่งรถไฟเหาะเลยค่ะ ตลอดทั้งวันตลาดตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเทขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Megaps) ที่ดำเนินมาต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ ส่งผลให้ในช่วงหนึ่งของการซื้อขาย ดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งเต็มไปด้วยหุ้นกลุ่มนี้ ดิ่งลงไปเกือบ 2% เลยทีเดียว
แต่พอเข้าสู่ชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย สถานการณ์ก็พลิกกลับอย่างน่าสนใจค่ะ ได้มีกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า ‘Dip-buyers’ หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘สายช้อน’ เข้ามาไล่ซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมา พวกเขามองว่านี่เป็นจังหวะดีที่จะได้ของดีราคาถูก ทำให้ตลาดที่กำลังร่วงหนักเริ่มตีตื้นกลับขึ้นมาได้
ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ดัชนี S&P 500 สามารถลดช่วงลบลงมาได้อย่างมาก จนปิดตลาดไปที่ -0.2% เท่านั้น ส่วนดัชนี Nasdaq 100 ก็ฟื้นตัวกลับมาปิดที่ -0.6% และดัชนี Dow Jones Industrial Average แทบไม่เปลี่ยนแปลง ที่น่าสนใจคือ แม้ดัชนีหลักจะปิดลบ แต่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่กลับปิดในแดนบวกได้ นี่เป็นภาพที่สะท้อนชัดเจนว่าแรงขายกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว แต่หุ้นตัวอื่นๆ ในตลาดโดยรวมยังมีความแข็งแกร่งอยู่
ภาพรวมแบบนี้บอกเราว่าตลาดยังมีความเปราะบางและความเห็นของนักลงทุนก็ยังเสียงแตกอยู่ค่ะ ฝั่งหนึ่งกลัว แต่อีกฝั่งก็พร้อมเสี่ยงค่ะ
จับตาสุนทรพจน์ "เจอโรม พาวเวลล์" ที่แจ็กสัน โฮล
หัวใจของความผันผวนทั้งหมดในสัปดาห์นี้อยู่ที่นี่เลยค่ะ ทุกสายตาในโลกการเงินกำลังจับจ้องไปที่การกล่าวสุนทรพจน์ของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ในงานประชุมใหญ่ประจำปีที่เมือง แจ็กสัน โฮล (Jackson Hole) รัฐไวโอมิง
ต้องอธิบายก่อนว่างานนี้ไม่ใช่แค่การประชุมธรรมดาๆ นะคะ แต่เป็นงานสัมมนาทางเศรษฐกิจที่จัดโดยเฟดสาขาแคนซัสซิตี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเวทีรวมพลของเหล่าผู้ว่าการธนาคารกลาง นักเศรษฐศาสตร์ และผู้มีบทบาทสำคัญในแวดวงการเงินจากทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่พูดบนเวทีนี้จึงมีน้ำหนักและส่งผลกระทบไปทั่วโลกค่ะ
ความน่าสนใจเป็นพิเศษในปีนี้คือ สุนทรพจน์ของพาวเวลล์จะมีขึ้นหลังจากที่เฟดเพิ่งเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งก่อน ซึ่งแสดงท่าทีที่ค่อนข้างกังวลกับเงินเฟ้อ (หรือที่เรียกว่าท่าทีสายเหยี่ยว - Hawkish) แต่ตลาดกลับดูเหมือนจะเมินเฉยต่อรายงานนั้น และยังคงคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสสูงที่จะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานการประชุมดังกล่าวอาจดู "ล้าสมัย" ไปแล้วในสายตานักลงทุนบางส่วน เพราะมันเกิดขึ้นก่อนที่จะมีรายงานตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอออกมา ดังนั้น คำพูดของพาวเวลล์ในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนตัวตัดสินทิศทางตลาดนั่นเองค่ะ
นักวิเคราะห์อย่างคุณ คริส ซัคคาเรลลี (Chris Zaccarelli) คาดว่า "พาวเวลล์น่าจะยังสงวนท่าที ไม่เปิดไพ่ทั้งหมด" และจะย้ำจุดยืนเดิมว่าการตัดสินใจของเฟดจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่ (Data Dependent) โดยให้ความสำคัญกับ "พันธกิจคู่" (Dual Mandate) คือการคุมเงินเฟ้อและการจ้างงานสูงสุด
อย่างไรก็ตาม คุณ เดวิด รัสเซล (David Russell) จาก TradeStation ก็ได้เตือนว่า "นักลงทุนฝั่งกระทิง (คนที่มองว่าตลาดจะขึ้น) อาจเหมือนโดนสาดน้ำเย็นใส่หน้าในงานที่แจ็กสัน โฮล" ซึ่งหมายความว่า หากพาวเวลล์ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ายังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก ตลาดที่กำลังคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยก็อาจจะต้องผิดหวังครั้งใหญ่ค่ะ
รายงานการประชุมเฟด (FOMC Minutes): เงินเฟ้อยังเป็นห่วงกว่าตลาดแรงงาน
ทีนี้เรามาเจาะลึกเอกสารสำคัญที่เพิ่งปล่อยออกมากันค่ะ รายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ครั้งล่าสุด เปรียบเสมือนการเปิดห้องประชุมให้เราได้แอบฟังว่าเหล่าผู้กำหนดนโยบายการเงินเขากำลังคิดอะไรกันอยู่
ประเด็นที่ชัดเจนที่สุดคือ กรรมการเฟดส่วนใหญ่จากทั้งหมด 18 คน ลงความเห็นว่า ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น ยังน่ากังวลมากกว่าความเสี่ยงด้านตลาดแรงงานที่อาจชะลอตัว พวกเขากังวลว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากร (Tariffs) อาจใช้เวลากว่าจะส่งผลเต็มที่ต่อราคาสินค้าและบริการสำหรับผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่คาด
แต่ในห้องประชุมก็ไม่ได้เห็นพ้องต้องกันไปทั้งหมดนะคะ รายงานระบุว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร โดยมีกรรมการบางส่วนมองว่าความเสี่ยงทั้งสองด้าน (เงินเฟ้อกับการจ้างงาน) ค่อนข้างสมดุลกัน ขณะที่อีก 2-3 ท่านแสดงความกังวลกับตลาดแรงงานมากกว่าอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่ ผู้ว่าการเฟด 2 ท่าน คือ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และ มิเชล โบว์แมน ได้โหวตสวนมติ ไม่เห็นด้วยกับการคงอัตราดอกเบี้ย โดยให้เหตุผลจากความกังวลต่อตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง นี่แสดงให้เห็นถึงรอยร้าวและความเห็นที่ไม่เป็นเอกฉันท์ภายในคณะกรรมการเฟดค่ะ
นอกเหนือจากเรื่องเงินเฟ้อและการจ้างงานแล้ว ในรายงานยังมีการพูดคุยถึง ความเสถียรของระบบการเงิน (Financial Stability) ด้วย โดยกรรมการหลายท่านแสดงความกังวลเกี่ยวกับ "แรงกดดันจากมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูง" แปลง่ายๆ ก็คือ พวกเขากำลังจับตาดูอยู่ว่าราคาหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ มันแพงเกินจริงไปหรือยัง ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงหรือภาวะฟองสบู่ได้ค่ะ
แม้ว่าข้อมูลในรายงานนี้อาจจะ "ล้าสมัย" ไปบ้าง เพราะเป็นการประชุมที่เกิดขึ้นก่อนตัวเลขการจ้างงานล่าสุดจะออกมา แต่เนื้อหาก็สะท้อนให้เห็นถึง "ดีเอ็นเอ" ความคิดของเฟดที่ยังคงให้น้ำหนักกับเรื่องเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นท่าทีที่ขัดแย้งกับความคาดหวังของตลาดที่อยากเห็นการลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ค่ะ
คำเตือนเรื่อง "ฟองสบู่" และชะตากรรมหุ้นเทคฯ
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ มีเสียงเตือนดังๆ มาจาก โฮเวิร์ด มาร์กส์ (Howard Marks) นักลงทุนระดับตำนานและผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree Capital Management ค่ะ เขาให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ใน "ช่วงเริ่มต้นของภาวะฟองสบู่"แต่เขาก็รีบขยายความนะคะว่า "ผมยังไม่ได้กำลังลั่นระฆังเตือนภัย" จุดประสงค์หลักที่เขาต้องการจะสื่อก็คือ "ตอนนี้ของมันแพง" นั่นเองค่ะ
คุณมาร์กส์เปรียบเทียบว่าบรรยากาศตอนนี้ทำให้เขานึกถึงช่วงปลายทศวรรษ 1990 ที่ตลาดกำลังคลั่งไคล้หุ้นเทคโนโลยีอย่างหนัก จนอดีตประธานเฟดอย่าง อลัน กรีนสแปน เคยออกมาเตือนถึงภาวะ "ความเบิกบานใจอย่างไร้เหตุผล" (Irrational Exuberance) ซึ่งเป็นวลีที่ใช้อธิบายภาวะที่นักลงทุนตื่นเต้นกับตลาดจนเข้าซื้อสินทรัพย์อย่างคึกคักเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานจะรองรับได้
คำเตือนนี้ออกมาในจังหวะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ หรือ Megacaps กำลังถูกเทขายอย่างหนักพอดี ซึ่งสร้างความกังวลเป็นพิเศษ เพราะหุ้นไม่กี่ตัวนี้มีขนาดใหญ่มากจนน้ำหนักของมันสามารถฉุดดัชนี S&P 500 ทั้งแผงให้ร่วงตามได้
สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คือปรากฏการณ์ "Rotation" หรือการที่นักลงทุนเริ่มย้ายเงินออกจากหุ้นเติบโต (Growth) อย่างกลุ่มเทคฯ ไปยังหุ้นคุณค่า (Value) และหุ้นขนาดเล็ก (Small Caps) ซึ่งทำผลงานได้แย่กว่ามาตลอดเดือนนี้ แต่คำถามสำคัญก็คือ หากหุ้นเทคฯ ซึ่งเป็นผู้นำตลาดร่วงหนักเกินไป การหมุนเวียนนี้จะกลายเป็นการ "หนีตาย" ไปถือเงินสดแทนหรือไม่ ซึ่งนั่นจะหมายถึงการเทขายในวงกว้างค่ะ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มองโลกในแง่ร้ายนะคะ คุณ แครอล ชไลฟ์ จาก BMO Private Wealth ชี้ว่า แม้มูลค่าหุ้นจะดูตึงตัวจนแทบไม่มีพื้นที่ให้ผิดหวัง แต่ก็เป็นเพราะ "ตลาดกำลังคาดหวังถึงอนาคตที่สดใส" ซึ่งมีเหตุผลสนับสนุนจากผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มาก
นอกจากนี้ คุณ มาร์ก แฮ็คเก็ต จาก Nationwide ยังตั้งข้อสังเกตว่า ดัชนีความผันผวน และส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ ซึ่งเป็นเหมือน "มาตรวัดความกลัวของตลาด" ยังคงสงบนิ่ง นี่เป็นสัญญาณว่านักลงทุนโดยรวมยังไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างที่คิดค่ะ
ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ: การเมืองร้อนในเฟดและข่าวใหญ่รายบริษัท
นอกเหนือจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว ตลาดช่วงนี้ยังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าติดตาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเช่นกันค่ะ
เรื่องแรกเป็นดราม่าร้อนๆ ในแวดวงการเมืองที่ลามมาถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ ลิซา คุก หนึ่งในผู้ว่าการเฟด ลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างถึงข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงสินเชื่อที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการคุกก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างชัดเจนผ่านแถลงการณ์ว่า "ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะยอมถูกข่มขู่ให้ลาออกจากตำแหน่ง เพียงเพราะคำถามที่เกิดขึ้นจากทวีต" เธอยืนยันว่าจะรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อตอบทุกคำถามอย่างจริงจังต่อไป เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันทางการเมืองที่มีต่อความเป็นอิสระของเฟด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิดค่ะ
ขณะเดียวกัน ในฝั่งของภาคเอกชนก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายอย่างค่ะ มาส่องกันทีละกลุ่มเลยนะคะ
ในกลุ่มเทคโนโลยี Microsoft ประกาศจำกัดการแจ้งเตือนข้อมูลช่องโหว่ด้านความปลอดภัยล่วงหน้าให้กับบริษัทในจีน หลังสืบสวนพบว่าอาจมีข้อมูลรั่วไหลซึ่งนำไปสู่การแฮกครั้งใหญ่ผ่านซอฟต์แวร์ SharePoint
ส่วน Google ในเครือ Alphabet ก็เดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งสมาร์ทโฟน, นาฬิกา และหูฟังไร้สาย ที่ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยี AI ล่าสุด ในทางกลับกัน Baidu ยักษ์ใหญ่จากจีนกลับเผชิญรายได้ที่ลดลง ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้าน AI กับคู่แข่งรายใหญ่รายอื่นๆ ค่ะ
มาดูฝั่งค้าปลีกกันบ้าง จะเห็นภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันชัดเจนเลยค่ะ Target กำลังเผชิญกับยอดขายที่ซบเซาจนต้องแต่งตั้งซีอีโอคนใหม่ที่เป็นคนวงในอย่าง Michael Fiddelke เข้ามาพลิกฟื้นสถานการณ์ เช่นเดียวกับแบรนด์เครื่องสำอางหรู Estée Lauder ที่คาดการณ์กำไรน่าผิดหวัง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนภาษี จนต้องจ้างที่ปรึกษาภายนอกมาช่วยทบทวนพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ในเครือเพื่อเร่งปรับโครงสร้าง
ภาพที่ตรงกันข้ามคือ TJX เจ้าของร้านค้าปลีกราคาประหยัด ที่ผลประกอบการดีเกินคาดและปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคกำลังรัดเข็มขัดและมองหาสินค้าราคาถูกมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ปิดท้ายด้วยข่าวใหญ่ในวงการก่อสร้างและปรับปรุงบ้าน Lowe's ได้ตกลงทุ่มเงินสดมหาศาลราว 8.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าซื้อกิจการ Foundation Building Materials ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ต้องการจะรุกตลาดกลุ่มลูกค้ามืออาชีพอย่างผู้รับเหมาให้มากขึ้น นอกเหนือจากลูกค้าทั่วไปค่ะ
สรุปและความเห็นส่วนตัว
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนพายุกำลังตั้งเค้าค่ะ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก จากแรงกดดันเรื่องการเทขายหุ้นเทคฯ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยของเฟด ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่การประชุมที่แจ็กสัน โฮล ซึ่งคำพูดของเจอโรม พาวเวลล์ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดในระยะต่อไปค่ะ ซึ่งแอดมองว่ามีโอกาสออกมาผิดหวังและทุบตลาดได้เช่นกัน
ทำอย่างไรดีกับพอร์ตตัวเอง... ถ้ามีเงินสดเหลือ ก็ถือรอ Buy On Dip ค่ะ หรืออาจจะ Hedge ก็ได้เช่นกัน ส่วนใครที่กล้าๆกลัวๆ ก็แนะนำลดพอร์ตลงมาบ้างก็ได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวตกรถเยอะ เพราะปกติเดือนกันยายน ตลาดหุ้นไม่ค่อยไปไหนอยู่แล้วค่ะ
แต่ถ้าถามว่าหุ้นจะร่วงแรงไหม ก็คิดว่าไม่นะ เพราะ Earnings ยังเป็นการปรับขึ้นตลอดเลยค่ะ สุดท้ายเดี๋ยวก็มีแรง Buy On Dip เข้ามาอยู่ดีค่ะ และส่วนตัวยังมองว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า แม้ว่าพาวเวลล์อาจจะไม่พูดถึงก็ตามค่ะ
ที่มา. เพจBeauty Investor