ยูโอบีชูหุ้นพลังงานทดแทน เกาะติดการเมืองปัจจัยเสี่ยง
- บลจ.ยูโอบี ส่องหุ้นไทยผันผวน ท่ามกลางการเมืองไม่นิ่ง มองแนวต้านที่ระดับ 1620 จุด ส่วนแนวรับคาดไว้ 1,400 จุด พร้อมชูกลุ่มพลังงานทดแทนแกร่งน่าสะสม ระบุราคาอ่อนตัวมากแล้ว ผู้บริหาร "วรรณจันทร์ อึ้งถาวร" ย้ำชัดไม่มีเอี่ยวหุ้น STARK แถมเผยกลยุทธ์ลงทุนเน้นตราสารหนี้ต่างประเทศ
นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บรรยากาศการซื้อของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นน่าจะยังแกว่งตัว เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยเบื้องต้นมองต้านหรือเป้าหมายของดัชนีปีนี้ไว้ที่ราว 1,620 จุด ส่วนแนวกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,400 จุด
กลุ่มพลังงานทดแทนเด่น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนให้คำแนะนำในหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน อาทิ โรงไฟฟ้า เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นที่ในช่วงที่ผ่านมามีการอ่อนตัวและสะท้อนประเด็นลบต่างๆ ไปค่อนข้างมากแล้ว จึงมองว่าราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสปรับลด downside จำกัด และเริ่มอัตราผลตอบแทน (ยิวด์) ที่ดีขึ้น และเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน
อย่างไรก็ตาม ทางบลจ.ยังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีอย่างชัดเจน
นางสาววรรณจันทร์ กล่าวเสริมว่า สำหรับประเด็นเกี่ยวกับหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSTARK ที่มีประเด็นสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมากนั้นทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะมีไม่ได้มีการเข้าไปลงทุนใน STARK ดังนั้นนักลงทุนจึงมั่นใจในพื้นฐานของบริษัทได้
ขณะที่ให้มุมมองเกี่ยวเศรษฐกิจหลักของโลก อย่างสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลดลงน้อยกว่าที่คาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการและการบริโภคที่ยังคงขยายตัวได้ ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาคการจ้างงานที่ยังดี และอัตราการเติบโตของค่าแรงที่ยังคงเติบโต
นอกจากนี้ระดับเงินออมที่อยู่ในระดับสูงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีกว่าคาดถึงแม้ธนาคารกลางจะใช้ นโยบายการเงินที่เข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วปรับสูงขึ้น ในไตรมาสสองที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความกังวลจากประเด็นการล้มละลายของ Regional Bank ในสหรัฐฯ ที่คลี่คลายรวมถึงกระแสการตื่นตัวการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ Robotics & Al ซึ่งทำให้ ให้หุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) ปรับตัวได้อย่างโดดเด่น
เพิ่มน้ำหนักลงทุนตปท.
อย่างไรก็ดีในช่วงท้ายไตรมาส2/2566 ตลาดหุ้นมีการพักฐานหลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง สำหรับตลาดหุ้นประเทศเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นนั้นปรับลดลง ในช่วงที่ผ่านมาหลังข่าวที่เกี่ยว เปิดประเทศเริ่มหมดไป ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนทีช้ากว่าคาดไว้
นอกจากนี้ ทางบลจ.ประเมินว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในกรณีพื้นฐาน (Base Case) จะเป็นใน ลักษณะที่มีการชะลอตัวแบบไม่รุนแรง (Soft Landing) ซึ่งการบริหารความเสี่ยงท่ามกลางสภาวะที่มีความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่ สําคัญที่สุด และนักลงทุนไม่ควรที่จะกลัวการลงทุนมากไป พร้อมทั้งควรเน้นการกระจาย ความเสี่ยงในการลงทุนควบคู่กันไปด้วย
ดังนั้น จากปัจจัยข้างต้น บลจ. ยูโอบี แนะนำให้ลดเงินสดและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ ภาคเอกชนทั่วโลก เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในตราสารหนี้ที่น่าสนใจในช่วง ขึ้นอัตราเบี้ยที ดังจะผ่าน จุดสูงสุดโดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระดับ Investment Grade ที่มีคุณภาพเพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ใน ระยะข้างหน้าที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวสูง และปรับน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากภาพเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาดไว้ อีกทั้งให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นในต่างประเทศให้มากขึ้น