สภาพัฒน์ เตือนกับดัก ‘หนี้วนลูป’ เสี่ยงสูง- แก้ยาก - ฉุด GDP ประเทศ
- “สภาพัฒน์” ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทยติดวงจรหนี้สูง วนลูป เป็นปัญหา "Diabolic Loop" แก้ยาก ฉุดจีดีพีโตต่ำ ภาวะหนี้สูงทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ หนี้สาธารณะ
- แนะรัฐบาลใหม่ระมัดวังใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จำกัดเพดานหนี้สาธารณะไม่ให้เกิน 70% ตามคำแนะนำไอเอ็มเอฟ
- หนี้ธุรกิจช่วง 10 ปี กระจุกตัวเฉพาะรายใหญ่กู้เกิน 500 ล้านบาท สัดส่วนถึง 90% ส่วนเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ไม่ถึง 10%
- สร้างฐานข้อมูลช่วยอนุมัติสินเชื่อ แนะรายใหญ่ ช่วยรายย่อยสร้างความเข้มแข็งตลอดซัพพลายเชน

สายงานเศรษฐกิจมหภาค สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดงานเสวนาประจำปี 2568 ในหัวข้อ “เจาะลึกภาวะหนี้สิน ภาคธุรกิจไทย” เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2568 โดยมีการนำเสนอสถานการณ์หนี้แต่ละกลุ่มของไทยเพื่อหาทางแก้ปัญหา
นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการ สศช.กล่าว่า ปัญหาหนี้ที่อยู่ระดับสูงของไทยเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบและเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวเศรษฐกิจประเทศ ในปัจจุบันภาวะหนี้อยู่ระดับสูงมากเมื่อเทียบกับทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจและหนี้สาธารณะ
ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากังวล คือ ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงขึ้นตั้งแต่หลังโควิด-19 ทั้งหนี้ครัวเรือนโดยเฉพาะครัวเรือนเปราะบาง รวมถึงหนี้ภาคธุรกิจที่มี NPL และหนี้เฝ้าระวัง (SM) สูงขึ้น เมื่อรวมปัจจัยผลกระทบจากการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐ และการชะลอตัวเศรษฐกิจที่จะเห็นชัดตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้ ทำให้มีความเสี่ยงระดับหนี้สูงขึ้น และความสามารถชำระหนี้ รวมทั้งคุณภาพสินเชื่อจะลดลง
ขณะที่ระดับหนี้ภาครัฐที่วัดจากระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพี มีสัญญาณเพิ่มขึ้นและมีความท้าทายที่จะรักษาระดับหนี้ไม่ให้เกินเพดาน 70% ซึ่งคำแนะนำขององค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แนะนำว่าไทยไม่ควรขยายระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้เพิ่มขึ้น แต่ควรเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของหนี้สินและ NPL ในไทยกำลังสร้างวงจรที่กระทบเศรษฐกิจไทยหลายมิติ โดยนักวิชาการเรียกปัญหานี้ว่า “Diabolic Loop” ซึ่งเป็นวังวนปัญหาที่เกิดจากระดับหนี้ที่สูง แล้วก่อหนี้เพื่อแก้ปัญหา และระดับหนี้ที่สูงทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ ทำให้ต้องก่อหนี้มากระตุ้นหรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
"การแก้ไขปัญหาที่เป็น Diabolic Loop เป็นเรื่องยากและซับซ้อน ต้องใช้เวลาดำเนินการ และเป็นความท้าทายระดับมหภาคที่สำคัญ เพราะเป็นวัฎจักร vicious circle หรือวงจรอุบาทว์ที่วนเวียนกลับไปปัญหาเดิม เมื่อหนี้สูงและจีดีพีไม่เติบโตเศรษฐกิจไม่ดีนำไปสู่ปัญหาใหม่และวนมากระทบจีดีพี”
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาหนี้แบบง่าย เช่น การขยายสินเชื่อหรือการกู้เงิน ทำได้ยากขึ้นเพราะสถาบันการเงินระวังปล่อยสินเชื่อขึ้น ดังนั้นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนจึงเป็นทางออกในการเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ แต่มาตรการเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยมาตรการระยะสั้น ซึ่งมาตรการระยะสั้นทำได้เพียงประคองภาวะเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอลงมากกว่าที่เป็นอยู่
ฝากรัฐบาลใหม่ระมัดระวังก่อหนี้
สำหรับมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่นั้นควรให้ความสำคัญควรอยู่บนพื้นฐานการไม่สร้างภาระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นภาระการคลังระยะยาว เพราะขณะนี้หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ภาวะหนี้สินยังสูงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ดังนั้นนอกจากมาตรการระยะสั้นที่จะออกมาควรให้ความสำคัญกับมาตรการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง ได้แก่
1.การรณรงค์ใช้สินค้าไทยและเที่ยวในประเทศ เพราะการส่งออกไปตลาดใหญ่อย่างสหรัฐเจอกีดกันการค้าและกระแส “Mercantilism” ส่วนจะหันไปพึ่งตลาดจีนก็ยากเพราะจีนได้เปรียบทุกด้าน ดังนั้นหากรัฐบาลให้ความสำคัญกับมาตราการลดการนำเข้าและเพิ่มการบริโภคในประเทศจะช่วยประคองเศรษฐกิจได้
“ในอดีตเคยใช้มาตรการ Made in Thailand ประสบความสำเร็จทำให้เกิดการผลิตและบริโภคในประเทศ ช่วยให้เศรษฐกิจมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้น”
2.ด้านการส่งออกต้องหาตลาดใหม่ รวมทั้งส่งเสริมตลาดและสินค้าที่ส่งออกได้เพิ่ม โดยเฉพาะจากมาตรการทางภาษีที่มีผลบังคับใช้ ซึ่งสินค้าหลายชนิดของไทยมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม เพราะบางสินค้าไทยได้รับอัตราภาษีตำกว่าทำให้มีโอกาสส่งออกเพิ่ม
สำหรับขณะนี้การส่งออกเผชิญมาตรการภาษีและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยผู้ส่งออกอยู่ภาวะยากลำบากจากการถูกสหรัฐเก็บภาษี ซึ่งรัฐบาลควรหาวิธีช่วยลดต้นทุน ลดภาระ และอำนวยความสะดวก และไม่ควรออกมาตรการที่เพิ่มภาระ เช่น มาตรการค่าแรง
แนะปรับมาตรการแก้หนี้ให้ตรงกลุ่ม
3.การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ต้องได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ธนาคารจำกัดกลุ่มการปล่อยกู้ให้เฉพาะรายใหญ่ ซึ่งทำให้ SME รายเล็กยิ่งแย่ลง
ทั้งนี้ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SME ที่เป็น NPL เพิ่มขึ้น โดยมาตรการที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ควรเป็นแบบ “One size fits all” ซึ่งต้องปรับแต่งมาตรการให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม และไม่ใช่มาตรการแบบเดียวจะใช้แก้ปัญหาหนี้ได้ทั้งหมด
สินเชื่อธุรกิจจำกัดกลุ่มปล่อยรายใหญ่ 90%
นอกจากนี้ สศช.ได้นำเสนอผลงานทางวิชาการเรื่อง “ภาวะหนี้และคุณภาพสินเชื่อภาคธุรกิจไทย” โดยนางสาวสาลินี บุญตน และนางสาวพรทิพา แซ่เอี๋ยว นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สศช.
ทั้งนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่าการปล่อยสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจไทยกระจุกตัวมาก โดยธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป ได้รับการปล่อยกู้จากสถาบันการเงินสูงถึง 90% ของสินเชื่อทั้งระบบ ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นซุปเปอร์ไมโครเอสเอ็มอีจนถึงระดับธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งมีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 500 ล้านบาทลงมา ได้รับสินเชื่อรวมกันไม่ถึง 10% ของวงเงินสินเชื่อทั้งหมด
สำหรับสถิติดังกล่าวสะท้อนความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการประเมินความเสี่ยงที่สูงขึ้น และข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลเครดิตที่ครบถ้วน
เอสเอ็มอีรายย่อย NPL สูงขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์หนี้ที่ผิดนัดชำระ (NPL) เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนจากในอดีต โดยหากช่วงปี 2567 หนี้เสียส่วนใหญ่เกิดจากธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อสูง แต่ปัจจุบันธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางเริ่มผิดชำระหนี้สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยสัดส่วน NPL กว่า 60% เกิดขึ้นในธุรกิจขนาดซุปเปอร์ไมโครเอสเอ็มอี
“การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่รายเล็กกำลังอยู่รอดลำบาก ซึ่งหากไม่ได้รับแก้ไขเร่งด่วน อาจกระทบการจ้างงานและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว”
ธุรกิจเล็ก NPL พุ่ง“ก่อสร้างไม่ฟื้น”
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาตามสาขาธุรกิจพบว่าในกลุ่ม 5 สาขาหลัก ได้แก่ การผลิต การก่อสร้าง การขนส่งและขายปลีก ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และกิจการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างยังมีสถานการณ์น่าเป็นห่วงด้วยยอดผิดนัดชำระหนี้ยังสูงต่อเนื่องหลังโควิด-19
ในทางตรงข้าม ธุรกิจสาขาอื่นแสดงสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นหลังโควิด-19 แต่เริ่มมีทิศทางด้อยลงช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเห็นสัญญาณชัดตั้งแต่ปี 2567 สอดคล้องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
รวมทั้งสิ่งที่น่าวิตกคือเมื่อจำแนกการวิเคราะห์ตามขนาดวงเงินสินเชื่อ พบว่าบัญชีสินเชื่อที่มีวงเงินสินเชื่อขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 20 ล้านบาท) มีสัดส่วนสินเชื่อผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นทุกสาขาการผลิตสะท้อนว่าธุรกิจขนาดเล็กมีความเสี่ยงมากในการทำธุรกิจระยะต่อไป
“ผลการศึกษาทำให้เห็นความเปราะบางของธุรกิจขนาดเล็กที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังโควิด-19 และอาจส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการฟื้นตัวเศรษฐกิจระยะต่อไปที่เศรษฐกิจชะลอเนื่องจากธุรกิจขนาดเล็กที่สำคัญทั้งมิติเศรษฐกิจและการจ้างงานรวมถึงการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้ความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ สถาบันการเงินและภาคเอกชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจแข็งแกร่งยั่งยืน”
5 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากผลการศึกษาเรื่องหนี้ของภาคธุรกิจ สภาพัฒน์ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 5 ข้อ ได้แก่
1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลในภาคการเงิน โดยเชื่อมระบบฐานข้อมูล เช่น ข้อมูลการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ข้อมูลชำระภาษี รวมถึงการใช้ประโยชน์จากโครงการ Your Data และปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต
2.ดำเนินมาตรการแก้ปัญหาคุณภาพสินเชื่อแบบเจาะจง โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมแต่ละขนาดธุรกิจ เพราะมีผลทั้งมิติขนาดธุรกิจและประเภทธุรกิจ
3.เร่งตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนและลดต้นทุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการ
4.ยกระดับและพัฒนาศักยภาพธุรกิจขนาดเล็กผ่านการสนับสนุนทางการเงิน การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะการบริหารจัดการ การส่งเสริม e-commerce และการสร้างเครือข่ายธุรกิจกับบริษัทใหญ่
และ 5.ส่งเสริมบทบาทธุรกิจขนาดใหญ่ ในการช่วยเหลือและพัฒนาธุรกิจขนาดเล็กสาขาเดียวกัน ทั้งสนับสนุนการเงิน องค์ความรู้และเชื่อมซัพพลายเชน
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1198470