ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับตา‘พันธบัตรญี่ปุ่น’

โดย มูซาซิ
เผยแพร่ :
63 views

จับตา‘พันธบัตรญี่ปุ่น’ผันผวน เงินเฟ้อพุ่ง-ดอกเบี้ยขาขึ้น...แต่ไม่ใช่‘วิกฤติ’

By อัญชลี สบายสุข

 

พันธบัตรญี่ปุ่นผันผวนหนัก หลังเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี "กูรู" เผย ยังไม่วิกฤติ เหตุญี่ปุ่นประสบภาวะเงินฝืดมายาวนาน รอลุ้นเจรจาการค้าผ่อนคลาย หลังญี่ปุ่นถือครอง “พันธบัตรสหรัฐ” มากที่สุดในโลก

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญ “แรงกดดัน” รอบด้านจากหนี้สาธารณะที่สูง เงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และกระแสเทขาย “พันธบัตร” อย่างหนัก ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อน และสงครามการค้าซ้ำเติมภาคส่งออก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ 

“กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามเหล่า “กูรู” แวดวงตลาดเงินตลาดทุนในประเด็นข้างต้น “ยังไม่น่ากังวล” เหตุประเทศญี่ปุ่นมีภูมิต้านทานจากภาวะเงินฝืดมายาวนาน และถือครอง “พันธบัตรสหรัฐ” มากที่สุดในโลก

 

 

 

“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้มุมมองว่า “พันธบัตรญี่ปุ่น” มีการแก่วงตัวตามแนวโน้มอัตราผลตอบแทนกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ BOJ ต้องการสกัดเงินเฟ้อ รวมถึงเรื่องสงครามการค้าก็มีผลเพราะว่า ญี่ปุ่นค่อนข้างพึ่งพาการส่งออกเยอะ เพราะฉะนั้นสงครามการค้าเองก็เลยทําให้มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ Bond Yield เลยปรับตัวสูงขึ้นจากการที่เงินเฟ้อมีโอกาสขึ้นแล้วอัตราดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นสูง โดยระยะสั้นมองว่าป็นความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าญี่ปุ่นสุดท้ายแล้วยังเป็นพันธมิตรที่สําคัญกับสหรัฐ หรือเรียกว่า เป็นลูกสมุนอันดับหนึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะตัวญี่ปุ่นมีแค่กองกําลังป้องกันตนเอง แต่ว่าก็ไม่ได้มีอาวุธยุทโธปกรณ์ในกรณีที่มันเกิดความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างเกาหลีเหนือ หรือว่าระหว่างจีนก็ตาม ฉะนั้น ญี่ปุ่นยังจําเป็นที่จะต้องพึ่งพาความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ ทําให้มองว่าการพักดีล 90 วัน ซึ่งหากผ่านเฟสนี้ไปได้ และเทรดดีลของญี่ปุ่นดีกว่าประเทศอื่น ๆ ก็จะทำให้ผลกระทบบางเบาลงไปได้ แต่ความเสี่ยงที่สําคัญกว่าคือ ญี่ปุ่นเองกลับมาอยู่ในสภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอ่อนๆ ตรงนี้เป็นความท้าทายว่าการบริโภคภายในประเทศจะกระทบมากหรือไม่

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังพอมีอัปไซด์ แต่ดัชนี Nikkei225 จะขึ้นไปทะลุไฮแถว 40,002 จุด เป็นไปได้ค่อนข้างยาก ด้วยความที่ Valuation เริ่มตึงอีกครั้ง ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องตัวเงินเฟ้อที่กลับมา

ขณะที่ หนี้ญี่ปุ่นอยู่ที่ 220% ต่อจีดีพี ซึ่งเกิน 200 มาเป็นทศวรรษหนึ่ง และหลายคนสงสัยว่า ทำไมถึงไม่ระเบิดสักที เพราะคุณลักษณะอย่างนึงที่ญี่ปุ่นไม่เหมือนประเทศอื่นก็คือ เจ้าหนี้ของญี่ปุ่นเป็นคนในประเทศ เป็นสถาบันกับนักลงทุนภายในประเทศ ฉะนั้น หนี้ไม่ได้เป็นสกุลอื่น บวกกับคนในประเทศไม่เคยเจอเงินเฟ้อ และแทบจะไม่ลงทุนในหุ้น แต่ทว่ามีความยินดีที่จะฝากเงินไว้ในธนบัตร แม้จะให้ผลตอบแทนแค่ 1% แต่คนญี่ปุ่นก็รู้สึกมีความสุข เพราะก่อนหน้านี้ประสบกับเงินฝืดกันมาตลอด เลยทำให้ไม่เป็นปัญหาเพราะว่าหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่นเยอะขนาด ซึ่งญี่ปุ่นมีระบบป้องกันภัยเฉพาะมากกว่าประเทศอื่น ๆ

“วิศกรณ์ คีรีวรรณ” , CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเงินเฟ้อโลกปรับขึ้นมาโดยตลอด แต่ทว่าในช่วงต้นปีทีผ่านมา ญี่ปุ่นเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นจากโฟลว์โลก บวกกับช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องการเพาะปลูก เลยทําให้ราคาข้าวขึ้น และเงินเฟ้อก็ดันขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม จากความกังวลของหลาย ๆ ฝ่าย นั่น กลับมองว่า ญี่ปุ่นจะไม่ได้มีความกัลวลมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาญี่ปุ่นต้องประสบกับภาวะเงินฝืดมาอย่างยาวนาน และญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงการทยอยขึ้นดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ในส่วนของสงครามการค้าที่ยังเจรจาไม่ได้ส่งผลให้ค่าเงินเยนผันผวนไปมา และทำให้บอนด์ยีลด์กลับดีดตัวเด้งขึ้นมา ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่า หนี้สิ้นเยอะ และญี่ปุ่่นจะล้มหรือไม่ ส่วนตัวมองว่า ไม่ล้ม เพราะขณะนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเจรจาการค้า หากมีการดีลที่ดีเกิดขึ้นก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ

“สิ่งที่เป็นปัญหาขึ้นมาคือ ญี่ปุ่นต้องการที่จะไม่อยากจะเสียภาษียานยนต์ โดยเฉพาะโตโยต้าที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งญี่ปุ่นมีอำนาจในการต่อรองมากกว่ายุโรป เนพาะญี่ปุ่นถือพันธบัตรสหรัฐเยอะที่สุดในโลก”

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นงินเฟ้อแม้จะพุ่งสูงขึ้นแต่ยังไม่น่ากังวล เพราะถ้าไปดูทุกประเทศทั่วโลกเงินเฟ้อเด้งขึ้นหมด ขณะที่ BOJ เป้าหมายระยะยาวยังคงไม่ได้มาตรการที่จะลดเงินเฟ้อ แต่ต้องการทอดสมอให้เงินเฟ้ออยู่แถวบริเวณนี้ เพราะไม่ต้องการกลับไปสู่ภาวะเงินฝืด ส่วนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีโอกาสเติบโตได้ค่อนข้างมาก จากการที่มีการปรับขึ้นค่าแรงมาได้ 2-3 ปีติดต่อกัน ถ้าเทียบทั้งโลก ดังนั้นระยะสั้นยังมองเป็นบวก

“ณัฐ ตรีพูนสุข” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มว่า พันธบัตรญี่ปุ่นมองว่ายังไม่ถึงขั้นเป็นวิกฤติ เพราะยีลด์ที่พุ่งสูงขึ้น จะเป็นบอนด์ยีลด์อายุ 20 ปี 30 ปี และ 40 ปี ซึ่งสภาพคล่องในตลาดค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นหากนักลงทุนมีความกังวลพันธบัตรของญี่ปุ่นให้ติดตามอายุ 10 ปี ซึ่งหากไม่ได้พุ่งขึ้นเร็วและแรง เชื่อว่ายังไม่เกิดวิกฤติ แต่ทว่าพันธบัตรที่มีอายุยาว ๆ ปรับตัวขึ้นมาแรง ๆ เป็นเพราะตลาดอาจจะยังไม่คุ้นชินที่ BOJ จะยกเลิกนโยบาย Yield Curve Control กับ QQE ทำให้ตลาดมันอาจช็อคตรงนี้ออกมาบ้าง

โดยภาพดังกล่าวสะท้อนจากนี้ไปคงไม่มีฟรีมันนี่ที่แบบดอกเบี้ยต่ำมากๆ แล้วมากู้ไปแล้วนำไปลงทุนที่อื่นต่อ และคาดว่า ผลกระทบอาจจะเห็นเร็วสุดในปลายปีนี้หรือปีหน้าที่ฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ทั่วโลกจะค่อยๆ ฟีบลง เพราะต้นทุนทางการเงินมันจะสูงขึ้น

ขณะที่เงินเฟ้อของญี่ปุ่นสูงขึ้น เชื่อว่าทางการญี่ปุ่นน่าจะชอบ เนื่องจากที่ผ่านมาญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะเงินฝืดมายาวนาน และภาพเงินเฟ้อสามารถแก้ได้มากกว่าเงินฝืด ส่วนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงที่กังวลรื่องของการบริโภคว่าจะฟื้นตัวตามเงินเฟ้อไม่ทัน ยังเชื่อว่า สามารถแก้ไขได้มากว่าช่วงเงินฝืดเช่นกัน โดยสิ่งที่จะเห็นในอนาคตของญี่ปุ่นน่าจะมีการกระตุ้นภาคของการบริโภคเป็นหลัก

แต่ปัญหาภาระหนี้สินต่อจีดีพีของญี่ปุ่นที่สูงมากกว่า 200% หนึ่งในวิธีแก้คือ หยุดซื้อบอนด์สหรัฐเพิ่ม เพราะญี่ปุ่นเป็นผู้ถือตราสารหนี้เบอร์หนึ่งของสหรัฐ รองลงมาจากเฟด ดังนั้น ส่วนตัวมองว่า เมื่อได้เงินในพันธบัตรเก่าที่ครบกำหนดก็สามารถนำเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ จึงทำให้ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับญี่ปุ่นในเรื่องนี้

ญี่ปุ่นสิ่งที่น่ากังวลคือมีการพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์ค่อนข้างมาก และได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในรอบนี้ จึงมองว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นโดมิโน่มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะมีสัดภาคการส่งออกเยอะแต่สถานการณ์ ตอนเช่นนี้ เชื่อว่านักลงทุนไม่อยากเล่นหุ้นที่เกี่ยวกับการส่งออก จึงเน้นลงทุน selective ในฝั่ง ของ Domestic Play เป็นหลัก และหลีกเลี่ยงกลุ่มยานยนต์ไปก่อน

 

ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1184760

 


มูซาซิ