ดีลเด็ด! 7 หุ้นราคาต่ำบุ๊ก
พร้อมของแถมพื้นฐานดี น่าเข้าสอย
นอกจาก P/E ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เป็นตัววัดความถูกแพงของหุ้นตัวนั้นๆ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ใช้ในการชี้วัดความถูกแพงของราคาหุ้น ก็คือ P/BV หรือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี ซึ่งยิ่งค่าน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งบ่งบอกถึงความถูกเท่านั้น โดยเฉพาะถ้าน้อยกว่า 1 เท่า ก็จะถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้นักลงทุนซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ดังนั้นเพื่อเป็นการเอาใจสายช้อปปิ้งตลาดทุนไทยในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็ได้ทำการรวบรวมข้อมูลของ 7 หุ้นที่ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจ พร้อมกับหยิบยกกลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ
เริ่มกันที่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.57 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 131.50 บาท โดยความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลดลง 23.77% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ( ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566)
โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มองราคาหุ้นต่ำเกินไป แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 217 บาท/หุ้น ซึ่งราคาหุ้นเป็นราคาที่ต่ำเกินไป ลงไปเทียบเท่าราคาหุ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีประเด็นกดดันจากโครงการ Paju แต่คาดว่าจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผล 6.5 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นระดับน่าสนใจ นอกจากนั้นเห็นว่าหุ้น EGCO ถูกทยอยสะสมโดยตรงจากต่างชาติต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีนี้ มองเป็นโอกาส “ซื้อ”
ถัดมากับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.59 เท่า สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน( ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) มีการปรับตัวขึ้น 7.77% หรือขึ้นมาอยู่ที่ระดับราคา 159.50 บาท
โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 200 บาท เนื่องจาก BBL เป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคาร เพราะได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น, มีความเป็นผู้นำด้านสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งจะได้อานิสงส์โดยตรงจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และมีความแข็งแกร่งในเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และความเพียงพอของสำรองมากสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่
ถัดมาที่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.59 เท่า โดยความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน( ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) มีการปรับตัวลดลง 20.11% หรือลงมาอยู่ที่ระดับราคา 37.75 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 43 บาท เนื่องจากราคาหุ้นที่ลดลงล่าสุดสะท้อนความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยไปแล้ว ส่งผลให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันไม่แพงและการฟื้นตัวของกําไรในครึ่งหลังปี 2566 ถึงปี 2567 จะหนุนราคาหุ้นขึ้นและเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีสําหรับนักลงทุนระยะยาว
ต่อมาเป็นบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.61 เท่าซึ่งในส่วนของความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ( ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) ปรับตัวลดลง 34.67% หรือลงมาอยู่ที่ระดับราคา 8.95 บาท
โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 10 บาท โดยนักลงทุนระยะสั้นสามารถเข้าเก็งกำไรตามการรีบาวด์ของราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และถ่านหิน รวมทั้งเป็นหุ้นพลังงานที่มีความเสี่ยงจากนโยบายแทรกแซงพลังงานจำกัด ขณะที่นักลงทุนระยะกลางสามารถทยอยสะสม เนื่องจากคาดว่าหุ้นจะฟื้นตัวได้ดีช่วงไตรมาส 4/66 ตามอุปสงค์การ Restocking รองรับอุปสงค์ช่วงฤดูหนาวของยุโรป
ถัดกันมาที่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.61 เท่า ซึ่งในส่วนของความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน( ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) ปรับตัวลดลง 10.85% หรือลงมาอยู่ที่ระดับราคา 131.50 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 160 บาท เนื่องจากเป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น รวมไปถึงเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่พัฒนาDigital Banking เพื่อต่อยอดธุรกิจหลักรวมถึงการเพิ่มช่องทางการเติบโตใหม่ต่อเนื่อง
ต่อมาเป็นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.62 เท่า ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคานับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) อยู่ที่ระดับราคา 44.75 บาท ซึ่งปรับตัวลดลงมากว่า 20.44 %
สำหรับมุมมองการลงทุนบทวิเคราะห์ของบริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 60 บาท เนื่องจากเชื่อว่ากำไรในไตรมาส 2/66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี ซึ่งจะเห็นการฟื้นตัวส่วนต่างของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 หนุนจากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ gasoline ที่สูงขึ้น, และการรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมัน
สุดท้ายบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 0.66 เท่า ซึ่งความเคลื่อนไหวของราคานับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) มีการปรับตัวลดลงมา 20.56% หรือลงมาอยู่ที่ระดับราคา 19.70 บาท
โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 23 บาท เนื่องด้วยราคาถั่วเหลืองแนวโน้มลดลง ขณะที่ราคาหมูไทย-เวียดนาม-จีน ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 ทรงตัวหรือดีกว่าไตรมาส 1/66 แต่จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป
