ห้องเม่าปีกเหล็ก

"หนี้ครัวเรือน มหันตภัยร้าย ทำลายเศรษฐกิจ

โดย สัมภาระ
เผยแพร่ :
145 views

รายงานพิเศษ : "หนี้ครัวเรือน มหันตภัยร้าย ทำลายเศรษฐกิจ ถึงเวลาทุกฝ่ายร่วมแก้จริงจัง"

บทความชนะการประกวดในโครงการ “บทความข่าวเชิงวิเคราะห์ (ลับคมความคิด) ประจำปี 2565” จัดโดย “สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ” ร่วมกับ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ในผลงาน "รางวัลบทความป๋วย อึ๊งภากรณ์" ประเภทสื่อเว็บไซต์ ประจำปี 2565 รางวัลที่ 2 โดยภัทราภรณ์ เกียรตินันท์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

 

.

“หนี้ครัวเรือน” ถือเป็นปัญหาเรื้อรังในระบบเศรษฐกิจสังคมไทย และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาดังกล่าวให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการตอกย้ำความเปราะบางให้กับภาคครัวเรือนชัดเจนขึ้นด้วย สะท้อนจากระดับหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/64 ขึ้นไปสูงสุดแตะระดับที่ 90.8% ต่อจีดีพี

.

ทั้งนี้ จากการย้อนดูข้อมูล จะพบว่า หนี้ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น เพื่อการอุปโภคบริโภค และไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะครัวเรือนขาดการออมและการวางแผนทางการเงินที่ดี สิ่งเหล่านี้ หากไม่ได้รับการดูแลแก้ไข ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เกินตัวในที่สุด

.

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา เรามักเห็นพฤติกรรม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เป็นแบบช้อปก่อนจ่ายทีหลัง สนุกสนานกับการรูดปรื๊ด โดยเฉพาะในช่วงที่มีโปรโมชั่นออกมาหลอกล่อใจว่าสุดแสนจะคุ้มค่า บางรายมีบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดหลายใบ โดยเป็นการรูดวนจ่าย กดเงินจากอีกบัตรมาคืนอีกบัตร วนเป็นงูกินหางแบบไม่มีที่สิ้นสุด และทำให้ตกอยู่ในกับดักหนี้โดยไม่รู้ตัว

.

ทำให้ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการในปี 2560 โดยกำหนดรายได้ขั้นต่ำ และวงเงินสินเชื่อตามระดับรายได้ของผู้กู้ รวมถึงกำหนดจำนวนบัตรที่จะมีได้ต่อบุคคลด้วย สิ่งเหล่านี้ สะท้อนว่า ธปท.ต้องการเข้ามาดูแลและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ครัวเรือนก่อหนี้สูงเกินไปจนไม่สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระหนี้

.

เพราะหากธปท.ยังคงนิ่งเฉย ไม่ทำอะไร รังแต่จะทาให้ “หนี้ครัวเรือนมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น” แต่สิ่งที่ธปท.ดำเนินการนั้น หากเป็นเพียงหน่วยงานเดียว เชื่อว่า คงไม่สามารถสำเร็จได้โดยง่าย เพราะจำนวนหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง โดยเฉพาะการกู้เพื่อมาวนจ่ายหนี้เดิม และกู้มาแบบไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มนั้น เพิ่มสูงขึ้นมากและยังยืนในระดับสูงในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด เพราะในช่วงนั้น กิจการหลายแห่งถูกปิดลง ลูกจ้างบางส่วนถูกเลิกจ้างงาน หรือบางส่วน แม้จะไม่ถูกเลิกจ้าง แต่ก็ต้องหยุดงานแบบไม่รับเงินเดือนแทน ทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของแรงงาน และส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ด้วย

.

และเนื่องจากคนไทยมีระดับการออมที่ต่ำ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาคอย่างแน่นอน ทำให้ภาครัฐต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในช่วงที่ผ่านมา ผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน และโครงการอื่นๆ เป็นต้น แต่โครงการดังกล่าวคงทำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะทุกอย่างล้วนมีต้นทุนที่ต้องจ่าย

.

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจเริ่มฟื้น แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันจะปรับลดลงมา แต่เป็นการปรับลดลงเมื่อเทียบกับระดับของจีดีพีที่ฟื้นตัว โดยในไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ระดับ 88.2% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เริ่มให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้น ผสานความร่วมมือมากขึ้น

.

***รัฐบาลประกาศ “ปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน”

โดยในปี 2565 รัฐบาลได้ประกาศให้เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน” เพราะหากไม่ได้รับการแก้ไข วันหนึ่ง หนี้ครัวเรือนอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงอาจเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินมหาศาลจนยากจะคาดเดาได้

.

ทั้งนี้ หากจะแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า จะต้องเริ่มที่ครัวเรือนก่อน เนื่องจากปัจจุบัน พบว่า ประชาชนอาจขาดความรู้ หรือความเข้าใจทางการเงิน ขณะเดียวกัน ยังพบว่า กระแสสังคม และความอยากได้อยากมี อาจทำให้ประชาชนเริ่มก่อหนี้แบบเกินตัวโดยไม่รู้ตัว โดยที่ผ่านมา มีข้อมูลงานวิจัยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งได้ศึกษาข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ พบว่า “คนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น เป็นหนี้นานขึ้น และเป็นหนี้มากขึ้น”

.

โดยคนไทยเริ่มเป็นหนี้เร็วขึ้น และเป็นหนี้เสียตั้งแต่อายุยังน้อย โดยครึ่งหนึ่งของคนอายุประมาณ 30 ปี มีหนี้จากสินเชื่ออุปโภคบริโภค หรือ หนี้บัตรเครดิต ขณะที่ 1 ใน 5 ของคนที่เป็นหนี้เสียล้วนกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ช่วงอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน และอยู่ในช่วงสร้างรากฐานครอบครัวด้วย

.

นั่นเพราะพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัว ทำให้มีเงินออมน้อย เมื่ออยากได้สินค้าที่มีมูลค่าสูงจึงต้องกู้แบบเต็มมูลค่า และผ่อนจ่ายแบบขั้นต่ำจนเป็นนิสัยแทน สิ่งเหล่านี้จึงทาให้ คนไทยเป็นหนี้นาน โดยปริมาณหนี้ต่อหัวเร่งขึ้นสำหรับคนในช่วงอายุประมาณปลาย 20 เข้า 30 ปี และยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดอายุการทำงาน ที่สำคัญระดับหนี้ไม่ได้ลดลงแม้จะเข้าสู่วัยใกล้เกษียณ สะท้อนถึงความมั่นคงในชีวิต และสุดท้าย คนไทยมีหนี้มูลค่ามากขึ้น

.

*** “สถาบันวิจัยป๋วยฯ เสนอ 3 แนวทางแก้หนี้ครัวเรือน”

โดยเรื่องนี้ สถาบันวิจัยป๋วยฯ สะท้อนถึงแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไว้ได้น่าสนใจ 3 แนวทางคือ 1.การเพิ่มรายได้ของครัวเรือน เพราะหากครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องก่อหนี้เพื่อนำไปใช้จ่าย ดังนั้นภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันพิจารณาว่าจะยกระดับศักยภาพของแรงงานไทยให้เก่งขึ้น มีทักษะการทำงานที่ตรงกับความต้องการของตลาดได้อย่างไร

.

ขณะเดียวกันภาคธุรกิจเองจะต้องเพิ่มการลงทุนในไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับผลิตภาพการผลิตและรายได้ของประชาชน หรือแม้แต่การกระจายรายได้และโอกาสให้ทั่วถึงเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นและเป็นกำลังซื้อสำคัญของประเทศ แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างมากของภาครัฐและเอกชน

.

2.สร้างความตระหนักรู้ทางการเงินให้กับครัวเรือน เพื่อไม่ให้ครัวเรือนเกิดการใช้จ่ายและการก่อหนี้ที่เกินตัว รวมถึงจะต้องให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุน และรู้จักวางแผนการเงินและบริหารความเสี่ยงด้วย รวมถึงจะต้องหาความรู้และฝึกวินัยทางการเงินด้วยตนเอง

.

3.ปลดหนี้เดิม โดยในช่วงที่ผ่านมา หลายหน่วยงานเริ่มออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้แบบเจาะจงกลุ่มมากขึ้น เนื่องจากการทำมาตรการปูพรมอาจสร้างผลเสีย นั่นก็คือ Moral Hazard หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือเจาะจงที่จะผิดนัดชำระหนี้ เพื่อให้ได้เข้าเกณฑ์มาตรการที่ทางการออกมา

.

สำหรับที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกโครงการต่างๆ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ คลินิกแก้หนี้ และโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยปรับภาระหนี้ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนสอดคล้องกับรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป

.

*** ผู้ว่า ธปท.ชี้แก้หนี้ต้องทำครบวงจร

ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ ผู้ว่าการธปท. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เคยกล่าวไว้ว่า หากจะให้เศรษฐกิจ Take off และบินต่อได้แบบยั่งยืน จะต้องจัดการให้หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่ยั่งยืน ซึ่งก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับประมาณ 50% ต่อจีดีพีเท่านั้น แต่ปัจจุบันพบว่าอยู่ในระดับที่สูงมากกว่า 80% แม้จะลดจากระดับที่พีคที่ 90% กว่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่สูงเกินไป และอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุดได้ โดยการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ระดับหนี้ครัวเรือนไม่ควรที่จะเกิน 80% ของจีดีพี

.

สำหรับการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น ธปท.เห็นว่า จะต้องทำอย่างครบวงจร ทั้งก่อนก่อหนี้ ขณะที่เป็นหนี้ และช่วงเวลาที่มีปัญหาของการชำระหนี้ด้วย นอกจากนี้จะต้องทำแบบถูกหลักการ นั่นก็คือ ไม่ทำมาตรการแบบปูพรม ไม่สร้างภาระเพิ่มให้กับลูกหนี้ ไม่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ และลูกหนี้ เจ้าหนี้จะต้องร่วมมือกันด้วย

.

สำหรับสิ่งที่ธปท.จะเร่งผลักดัน คือ มาตรการลดหนี้เดิม เช่น มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ ที่จะดำเนินต่อเนื่องถึง 31 ม.ค. 66 รวมถึงการดูแลการปล่อยหนี้ใหม่อย่างมีคุณภาพ ยกระดับ financial literacy วางโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล รวมถึงช่วยให้เจ้าถึงสินเชื่อได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ว่า ธปท. ยังระบุไว้ว่า “เรื่องหนี้ครัวเรือนก็อยากทำให้เร็ว แต่มันไม่มียาวิเศษที่จะได้ผลทันที และต้องทำให้ถูกต้อง และไม่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมจงใจผิดนัดชาระหนี้ หรือ moral hazard รวมถึงไม่เป็นการผลักภาระหนี้ไปในอนาคต อย่างการพักหนี้ แม้ว่าจะดูดี แต่ดอกเบี้ยและหนี้ยังวิ่งอยู่ ซึ่งเป็นการเตะปัญหาไปข้างหน้าแต่ปัญหายังอยู่” นั่นเท่ากับเป็นการตอกย้ำชัดเจนว่า ปัญหาหนี้ ต้องใช้เวลา และทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน

.

แม้ปัจจุบัน พบว่า หลายภาคส่วนจะพยายามมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน จนยกให้เป็นปัญหาระดับประเทศ แต่ระดับหนี้ยังลดลงมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นก้าวที่ดีกว่าที่จะไม่ทำอะไรเลย เพราะหากวันหนึ่งปล่อยให้ประชาชนก่อหนี้มากขึ้น และหนี้ก็ยังสูงเกินกว่ารายได้ที่ได้รับ ไม่ใช่เพียงจะก่อให้เกิดปัญหาอาชกรรม หรือข่าวฆ่าตัวตายเพราะหนี้สิ้นล้นพ้นตัวเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นปัญหาระดับประเทศ และเป็นมหันตภัยร้ายที่ถาโถมเข้ามาจนยากจะแก้

.

ดังนั้น หลังจากนี้เชื่อว่าทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน และประชาชนเอง ยังคงต้องร่วมมือกันอย่างหนักต่อไป เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กลับมาอยู่ในระดับที่ยั่งยืนให้ได้ และก็ได้แต่หวังว่า วันหนึ่งประชาชนจะมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ สามารถลืมตาอ้าปากโดยไม่ต้องหวังมาตรการภาครัฐมาหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่ต้องเครียดกับการถูกทวงถามติดตามทวงหนี้ และมีความเป็นอยู่อย่างมีความรู้ และความเข้าใจทางการเงินต่อไปด้วย

***********************************

 

 


สัมภาระ