ห้องเม่าปีกเหล็ก

มองตลาดหุ้นไทยผ่านเศรษฐศาสตร์สถาบัน

โดย Pnatv
เผยแพร่ :
75 views

มองตลาดหุ้นไทยผ่านแนวคิดเศรษฐศาสตร์สถาบัน

 

ภาพจาก pixabay โดย AhmadAdity

 

เศรษฐศาสตร์สถาบันดั้งเดิม ได้ถือกำเนิดขึ้นมา 100 กว่าปีแล้วจากแนวคิดของ Thorstein Veblen โดยมองว่าสังคมต่างๆ มีต้นทุนธุรกรรม เพราะทุกสังคมที่เป็นสังคมมนุษย์อาศัยอยู่กันเป็นหมู่เหล่า จำเป็นต้องมีกติกาของสังคมเป็นเครื่องมือในการกำหนดพฤติกรรมของแต่ละปัจเจกชน เช่น กฎหมาย กฎระเบียบ แนวปฏิบัติ ดังนั้นเราไม่อาจหลีกเลี่ยงการมีต้นทุนธุรกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องได้ และต้นทุนธุรกรรมนี้มีผลสำคัญในการปรับหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันอีกทอด โดยเฉพาะการกำกับและชี้นำการเลือกของประชาชนในสังคม นักเศรษฐศาสตร์สถาบันแบบเก่ามีความเห็นว่า สถาบันเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมในสังคมมนุษย์ที่สำคัญที่สุดและพฤติกรรมนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย นักเศรษฐศาสตร์เพิ่งจะเข้าใจว่าตลาดนั้นเป็นสถาบันหนึ่งที่สำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแต่ก็ไม่ใช่สถาบันเดียวเท่านั้น เพราะยังมีสถาบันอื่นทีมีความสำคัญเช่นกัน และเน้นว่าสถาบันมีความสำคัญอย่างไรต่อการทำงานของระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ความสำคัญของแนวคิดนี้คือการให้ความสำคัญกับ "สถาบัน" ในทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งสถาบันในที่นี้คือสิ่งที่เป็น rule of the game หรือกลุ่มของกฎเกณฑ์ มติขององค์กร กติกา มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความล้มเหลวของตลาด โดยความล้มเหลวของตลาดมักจะมีสาเหตุมาจาก คุณธรรมวิบัติ (Moral Hazard) พฤติกรรมแสวงหากำไร (optimizing behaviour) ของผู้คนในตลาด และลดต้นทุนทางธุรกรรม (Transaction cost) ที่สูงเกินไป ความเสี่ยง(Risk) อันจะทำให้เกิดความยุ่งยากและอุปสรรคได้

ภายหลังเกิดแนวคิดใหม่ที่นำสถาบันแบบเก่ามาต่อยอดคือ เศรษฐศาสตร์สถาบันแบบใหม่ ได้ขยายขอบเขตของ “สถาบัน” ในมุมมองที่กว้างขึ้น โดยสาระสำคัญของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สถาบันแบบใหม่มีนัยที่สำคัญประการหนึ่ง คือ เป็นการศึกษาทฤษฎีองค์กรแบบใหม่ “สถาบัน” มีความหมายที่กว้างและลึกซึ้งและเปลี่ยนแปลงได้ยาก เช่น องค์การการค้าโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ซึ่งมีระเบียบหรือกติกาที่ใช้บังคับในหมู่สมาชิก องค์การเหล่านี้มีลักษณะสถาบัน เพราะเป็น rules of the game ที่เป็นที่ยอมรับในหมู่สมาชิก

นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์สถาบันแบบใหม่ ใช้แนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเข้ามาอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ แต่ได้พยายามคลายข้อสมมติให้สามารถอธิบายโลกความเป็นจริงได้มากขึ้น จากเดิมที่มองว่าข้อสมมติแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมีความแข็งเกินไปและไม่สมจริง เช่น ข้อสมมติที่ผู้บริโภคมีเหตุผลและมองที่ความพอใจสูงสุดเพียงอย่างเดียว หรือผู้ผลิตจะมองที่กำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริงแล้วยังมีปัจจัยอื่นในสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค เช่น การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือ การมี “ความพอใจส่วนรวม” (Social Preference) หรือ มีพฤติกรรม ”ต่างตอบแทน” (Reciprocity Motive) เป็นต้น

Oliver Williamson เป็นคนแรกที่ให้นิยามคำว่าเศรษฐศาสตร์สถาบันแบบใหม่ โดยให้ความสนใจในเรื่องประสิทธิภาพและการจำหน่ายจ่ายแจกไปในภาคส่วนต่างๆในระบบเศรษฐกิจ เครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ คือ “ภิบาล” (Governance) ซึ่งถูกกำหนดจากปัจจัยแวดล้อมของสถาบันและเปลี่ยนแปลงได้อย่างพลวัตเป็นตัวกำหนด จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ กรอบความคิดเรื่อง “ภิบาล” ทำให้เข้าใจสถาบันหรือองค์กรต่างๆที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์สถาบันดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับกติกาของสังคมเป็นหลัก

 

หากเรามองตลาดหุ้นผ่านแนวคิดเศรษฐศาสตร์สถาบัน เราจะพบว่าสถาบันนั้นมีอยู่สองประเภท คือสถาบันที่เป็นทางการและสถาบันที่ไม่เป็นทางการ

สถาบันที่เป็นทางการที่ชัดเจนคือ กลต. พ.ร.บ. หลักทรัพย์ต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เข้ามาจัดการกับตลาดหุ้นไทยโดยตรง และบังคับใช้กฎหมายผ่าน พ.ร.บ. ต่างๆที่เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และความเป็นธรรมาภิบาลต่อทุกที่

ส่วนสถาบันที่ไม่เป็นทางการคือ บรรทัดฐาน วัฒนธรรมสังคม จารีต ประเพณี ขนบธรรมเนียม เครือข่ายนักลงทุน เป็นต้น

พิจารณาหน้าที่ของ กลต. จะพบว่า กลต.นั้นจะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ ตลาดทุน ตราสารต่างๆ ถ้าเราตามข่าวจะพบว่า กลต.ลงดาบคนนู้นคนนี้ ออกประกาศต่างๆ เพื่อความโปร่งใส และความยุติธรรม เป็นตัวอย่างง่ายๆ

ส่วนสถาบันที่เป็นทางการอีกประเภทคือ บริษัทเอกชน อย่างเช่น สต็อคทูมอร์โรว์ เป็นองค์กรที่ให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่บุคคลทั่วไป และเป็นเครือข่ายนักลงทุน ตัวอย่างเช่น ในเว็บบอร์ดของสต็อคทูมอรืโรว์ก็เป็นอีกเครือข่ายนักลงทุนนะครับ ซึ่งเราจะมองเป็นสถาบันที่ไม่เป็นทางการก็ได้

โดยสต็อคทูมอร์โรวเนี่ยเป็นสถาบันที่ติดอาวุธทางปัญญาแก่ผู้ที่มาเรียน จะเห็นได้ว่าวิทยากรต่างๆจะสอนวิธีการดูกราฟ การเข้าซื้อหุ้น การดูพื้นฐานของหุ้น เป็นต้น สถาบันต่างๆเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง หมายความว่าผู้ลงทุนอาจจะไม่สามารถลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการลงทุนได้หมด 100% แน่ๆ แต่อย่างน้อยก็ทำให้นักลงทุนปรับตัวกับความเสี่ยงและรับมือกับมันได้ โดยทราบว่าความเสี่ยงคืออะไร มีลักษณะความรุนแรงอย่างไร ระวังอย่างไร ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน และอยู่ที่วิธีคิด (Mindset) ของแต่ละคนอีกด้วย

ซึ่งทั้ง กลต.และสต็อคทูมอร์โรว์ คือสถาบันที่เป็นทางการในการเข้ามาจัดการกับความเสี่ยงในตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อลองจินตนาการดูนะครับว่า ถ้าหากไม่มีกลต.มาบังคับใช้กฎหมาย และไม่มีกฎหมายห้ามการปั่นหุ้น ปล่อยข้อมูลเท็จ นักลงทุนจะทราบข่าว ทราบงบดุลของกิจการได้อย่างไร คงจะมีการปั่นหุ้นอย่างสนุกสนาน ผู้เสียผลประโยชน์นอกจากตลาดหลักทรัพย์แล้ว คือนักลงทุนและเจ้าของหุ้น ตามมาด้วยการไหลออกของเงินทุน เพราะไม่มีใครกล้ามาลงทุนตลาดแบบนี้ที่ไม่มีอะไรมากำกับดูแลเลย ซึ่งเราเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า สังคมโจรนั่นเอง

และถ้าหากไม่มีเครือข่ายนักลงทุน ไม่มีกูรูหุ้น ไม่มีสถาบันสอนเล่นหุ้นมาคอยชี้แนะการเอาตัวรอดและการรับมือกับความเสี่ยง ไม่มีใครมาลงทุน แล้วเราจะมีตลาดหุ้นไปทำไม?

ผมจึงเสนอให้มีสถาบันที่เข้มแข็งและโปร่งใสมากำกับดูแลตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่แค่กลต. แต่เป็นทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือ เคารพกฎกติกา ลดการคอร์รัปชั่น เพื่อให้พวกที่หาผลประโยชน์จากช่องโหว่และเจ้ามือหุ้นที่ไร้คุณธรรมหมดไปจากตลาดหุ้นไทย เพื่อความเป็นธรรมาภิบาลและความบริสุทธิ์ยุติธรรมต่อทุกภาคส่วน และต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดอีกด้วย แล้วตลาดหุ้นไทยจะไปไกลได้อีกมาก

ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ก็ต้องการที่จะนำเสนอทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สถาบันไปใช้กันแพร่หลายมากขึ้น มันสามารถใช้ได้ในหลายๆสาขาวิชา โดยในที่นี้ยกเอาตัวอย่างง่ายๆมาอธิบาย ถ้าหากใครสนใจก็หาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Alternative/02-01-02.html ของมสธ.นะครับ 

 

ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

 

และอย่าลืมมาสมัครคอร์สสัมมนามือใหม่เข้าใจหุ้น โดยคุณแพ้ท ภาววิทย์กันนะครับ

Facebook: สัมมนา stock2morrow

 

 

 


Pnatv