ห้องเม่าปีกเหล็ก

PYLON ทุบสถิติ All time high โบรกชี้กำไรปีนี้โต 37% แต่ราคาใกล้เต็มมูลค่า

โดย Fin-trading
เผยแพร่ :
66 views

efinanceThai - PYLON ทุบสถิติ All time high โบรกชี้กำไรปีนี้โต 37% แต่ราคาใกล้เต็มมูลค่า

 

         PYLON คึกคักรับงานภาครัฐ 4 เดือนที่ผ่านมาหุ้นวิ่ง 40% ขึ้นมาทำสถิติ All time high ที่ 14 บาท เมื่อสัปดาห์ก่อน ฟากโบรกคาดกำไรสุทธิของบริษัทปีนี้เติบโตราว 40% จากปี 59 ตามความต้องการใช้เสาเข็มเจาะที่เพิ่มสูงขึ้น 


          ราคาหุ้นบริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา จาก 9.9 บาท ขึ้นมาแตะจุดสูงสุดที่ 14 บาท เมื่อสัปดาห์ก่อน ถือเป็นจุดสูงสุดใหม่ (All time high)ของบริษัท จากที่เคยทำไว้ที่ 13.6 บาท เมื่อเดือน มิ.ย. ปีก่อน อย่างไรก็ตามราคาถูกขายทำกำไรออกมาหลังจากนั้น จนสัปดาห์นี้ลงไปแตะ 13.20 บาท


            PYLON ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก โดยแบ่งออกเป็น 3 สายงานหลัก คือ งานเสาเข็มเจาะ งานปรับปรุงคุณภาพดินโดยวิธีการฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง งานกำแพงกันดินชนิดไดอะแฟรม


             ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ PYLON ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า 9 เท่าตัว จากระดับ 1.5 บาท ขึ้นมาที่ระดับ 13-14 บาท สอดรับกับผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน 


            โดยเมื่อปี 55 กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 64.23 ล้านบาท ก่อนจะกระโดดขึ้นมาเป็น 159.07 ล้านบาท และขึ้นมาทำจุดสูงสุดที่ 201.91 ล้านบาท  แต่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ กำไรสุทธิของบริษัทกลับอ่อนตัวลงเหลือเพียง 119.56 ล้านบาท ลดลง 22.59% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยภาพรวมที่ชะลอตัวลงไป


             บล.เออีซี มองว่า ผลประกอบการของ PYLON ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปในปี 59 แล้ว และพร้อมกลับมาโตสดใสตั้งแต่ปี 60 โดยปี 60-61 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 37.1% จากแรงหนุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐตาม Action Plan ที่เริ่มมีความคืบหน้าไปมาก อาทิ รถไฟฟ้า 3 สาย (สายสีส้ม ชมพู เหลือง) ที่ได้ผู้ชนะการประมูลราคาแล้ว และคาดเริ่มงานฐานรากได้ในช่วงไตรมาส 3/60 


            รวมถึงรถไฟทางคู่ 5 เส้น ที่กำลังเข้าสู่ช่วงประมูลราคาในช่วง มี.ค. 60 ซึ่งคาดหนุนให้มีงานฐานราก(เฉพาะค่าแรง) ทั้งสิ้นรวมกว่า 5 พันล้านบาท เข้าสู่อุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีงานฐานรากอีกกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จากโครงการที่ค้างอยู่ในแผนปี 59 และที่เพิ่งบรรจุเพิ่มในแผนงานปี 60 ซึ่งคาดจะประมูลได้ในระยะถัดไป
              ส่วนช่วงไตรมาส 4/59 คาดผลประกอบการจะออกมาสอดคล้องตามที่ผู้บริหารเคยให้ไว้ว่าจะมีรายได้ทรงตัวที่ 290 ล้านบาท ลดลง 0.3% จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 23% ในช่วงไตรมาส 3/59 เป็น 25% หลังมีสัดส่วนงานเฉพาะค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากราว 21% ในช่วงไตรมาส 3/59 เป็น 32% ในช่วงไตรมาส 4/59 จากการเริ่มรับรู้งานในภาครัฐที่ส่วนมากเป็นงานเฉพาะค่าแรงมากขึ้น เช่น งานรถไฟทางคู่ (ช่วงจิระ-ขอนแก่น) และงานสุวรรณภูมิเฟส 2 เป็นต้น จึงทำให้กำไรช่วงไตรมาส 4/59 จะมีกำไรสุทธิฟื้นตัว 8.1% จากไตรมาส 3/59 สู่ระดับ 45 ล้านบาท แต่ทั้งปี 59 จะยังหดตัว 18.5% จากฐานรายได้ที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก


             ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า PYLON ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมประเภทเสาเข็มเจาะ โดยอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศ ธุรกิจเสาเข็มเจาะมีข้อได้เปรียบจากการเป็นธุรกิจต้นน้ำ (เข้างานก่อน, เสร็จงานก่อน) ส่งผลให้บริษัทมีหนี้เสียน้อยและกระแสเงินสดดี ปัจจุบันมีประมาณ 4-5 บริษัทที่รับงานเสาเข็มเจาะ โดยมีเพียง 2บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น นั่นคือ PYLON และซีฟโก้ (SEAFCO) จากข้อมูลทางการเงินย้อนหลัง 5 ปี พบว่า PYLON มีประสิทธิภาพในการทำกำไรที่เหนือคู่แข่ง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 5 ปีที่ 19.4% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่ที่ 17.6% 


              ขณะที่โครงการภาครัฐเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นและเริ่มออกประมูลจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา รวมมูลค่าเฉพาะงานเสาเข็ม (เฉพาะค่าแรง) ประมาณ 8.9 พันล้านบาท มองว่างานเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ PYLON เข้าสู่การเติบโตที่แท้จริง โดยคาดกำไรสุทธิสำหรับปี 60 จะเติบโตสูงถึง 40.3% มาอยู่ที่ 227 ล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องอีก 31% ในปี 61 มาอยู่ที่ 298 ล้านบาท


              แต่ในมุมของการลงทุนนั้น แม้นักวิเคราะห์ทั้ง 2 ราย จะมองว่า PYLON มีแนวโน้มกำไรสุทธิเติบโตสูงในช่วง 2 ปีนี้ แต่อัพไซด์จากราคาปัจจุบันถือว่าไม่ได้สูงนัก โดย บล.เออีซี ให้ราคาพื้นฐานปีนี้อิงP/E 21.8 เท่า ที่ 14.2 บาท และคาดบริษัทจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังปี 59 อีก 0.19 บาทต่อหุ้น ส่วน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้ราคาเหมาะสมที่ 14.60 บาท อิง P/E เฉลี่ยที่ประมาณ 24.1 เท่า


                PYLON เป็นหนึ่งในหุ้นที่เติบโตโดดเด่นมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 6-7 ปีย้อนหลัง แต่ก็อยู่ในช่วงพักตัวมาตั้งแต่กลางปี 58 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งตั้งแต่ปลายปี 59 อย่างไรก็ตามราคาหุ้นยังไม่สามารถยืนเหนือจุดสูงสุดเดิมที่ 13.6 บาท ได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ค่า P/E ถือว่าไม่ได้ถูกนัก ฉะนั้นการจะเข้าลงทุนในเวลานี้ นักลงทุนคงต้องพิจารณาอย่างดีว่าจะมีปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยแวดล้อมใดเข้ามาหนุนหรือไม่

 

ที่มา : Efinancethai

 


Fin-trading