จุดเด่น/จุดด้อย จากการลงทุนผ่านกองทุนรวม
ในโลกยุคปัจจุบัน กองทุนรวมเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือกการออมเงินให้กับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ซึ่งจุดแข็งของกองทุนรวมคือการมีผู้เชี่ยวชาญบริหารและจัดการกองทุน รวมไปถึงการตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ในการลงทุน เพื่อหวังสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้เติบโตตามวัตถุประสงค์ของกองทุนได้ อย่างไรก็ตาม กองทุนก็ยังมีข้อเสียซึ่งต่างจากการลงทุนประเภทอื่นๆ เช่น ผู้ที่ตัดสินใจซื้อกองทุนอาจจะต้องจ่ายค่าดำเนินการกองทุนรายปี เพื่อใช้เป็นค่าบริหารจัดการภายในกองทุน ดังนั้น นักลงทุนควรควรศึกษาข้อดี และข้อเสียต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกการลงทุนประเภทอื่นๆ ในบทความนี้ได้รวบรวมข้อดี และข้อเสียที่สำคัญในการลงทุนกับกองทุน ดังนี้
ประโยชน์ที่ได้รับ (Advantages)
- ง่ายต่อการเข้าถึง (Ease of access): นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนเช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ และอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมซึ่งจะถูกบริหารและจัดการด้วยธนาคารหรือบริษัทจัดการลงทุน ทำให้นักลงทุนไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหาและลงทุนในสินทรัพย์ด้วยตนเอง อีกทั้ง ยังเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือความรู้การลงทุนเพียงพอที่จะลงทุนด้วยตนเอง
- บริหารจัดการด้วยมืออาชีพ (Professional Fund Management): ในแต่ละกองทุน จะถูกบริหารด้วยผู้เชี่ยวชาญและมืออาชีพการลงทุนซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการจัดการ บริหารสินทรัพย์การลงทุน โดยมีผู้จัดการลงทุน (Fund Manager) เป็นเสมือนหัวหน้าทีมในการตัดสินใจ เพื่อสร้างผลตอบแทนตามวัตถุประสงค์ของกองทุน นอกจากนั้น กองทุนเหล่านี้ ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทฯ ที่จะลงทุนได้มากกว่า ทำให้มีโอกาสในการประเมินหรือการวิเคราะห์สินทรัพย์ต่างๆ ได้ดีกว่านักลงทุนทั่วไป
- สามารถใช้ลดหย่อนภาษี (Tax Benefits): กองทุนรวมพิเศษบางประเภท รัฐบาลได้สนับสนุนการออมเงินสำหรับประชาชน จึงให้สิทธิพิเศษในการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ลงทุนกับกองทุนรวมพิเศษบางประเภท (LTF และ RMF) ซึ่งทำให้นักลงทุนได้รับประโยชน์ดังกล่าว นอกเหนือจากผลตอบแทนปกติจากกองทุนอยู่แล้ว
- การประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale): กองทุนจะระดมเงินจากนักลงทุนที่สนใจ ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ทั้งนี้การรวมเงินเพื่อไปลงทุนนี้สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายการโอน ซึ่งจะถูกกว่าการลงทุนเองโดยตรง
- สภาพคล่องการซื้อขาย (Liquidity): ในกรณีของกองทุนเปิด นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนได้ทุกเมื่อที่มีความประสงค์ ซึ่งต่างจากสินทรัพย์บางประเภทที่อาจจะต้องใช้เวลาในการซื้อหรือขายที่นานกว่าเช่น สินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์
- การควบคุมการจัดการ (Regulation): กองทุนเหล่านี้ถูกควบคุมการบริหารจัดการด้วยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับนักลงทุน
ข้อเสีย (Disadvantages)
- ค่าธรรมเนียมการลงทุน (Fees): นักลงทุนจำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน ซึ่งรวมไปถึง ค่าเงินเดือนของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ ค่าบริหารจัดการภายในกองทุน และค่าธรรมเนียมการซื้อขายสินทรัพย์
- ไม่มีสิทธิเลือกหรือตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ (Loss of control): นักลงทุนในกองทุนรวม ไม่มีอำนาจในการเลือก หรือตัดสินใจให้ผู้จัดการของกองทุนนั้นๆ ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในระหว่างการลงทุน
- ผลตอบแทนอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาด (Tracking Error): บางครั้งผลตอบแทนการลงทุนก็ไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง โดยทั่วไปแล้วแต่ละกองทุนจะเปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนของตนเองกับผลตอบแทนอ้างอิง (Benchmark) ดังนั้น หากการบริหารการจัดการลงทุนผิดพลาด อาจจะทำให้ผลตอบแทนของกองทุนไม่สามารถเอาชนะ Benchmark ได้ ซึ่งทำให้นักลงทุนเสียโอกาสที่จะลงทุนกับกองทุนอื่นที่สามารถเอาชนะได้
จะเห็นได้ว่า การลงทุนแต่ละประเภทจะมีข้อดี/ข้อเสีย แตกต่างกันไป เช่นเดียวกันกับการลงทุนผ่านกองทุนรวม หากนักลงทุนได้ทราบคุณสมบัติของการลงทุนแล้ว และสามารถยอมรับข้อดี/ข้อเสีย ของการลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่กำลังหาช่องทางลงทุนระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับตนเองได้