จำลองเหตุการณ์! ก้าวไกลจับมือเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล
นโยบายอะไรกระทบตลาดหุ้นบ้าง?

.
หลังจากที่พรรคการเมืองได้ออกมาเสียงพร้อมชูนโยบายต่างๆออกมา ในตอนนี้ก็เริ่มเป็นที่แน่ชัดถึงขั้วรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อจากนี้ใน 4 ปีข้างหน้า ซึ่งนโยบายยของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่ประกาศออกมาก็มีไม่น้อยที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนและเอกชน
.
แต่ในขณะเดียวกันก็มีนโยบายที่ความสำคัญและผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนด้วยเช่นกัน ซึ่งในวันนี้ทาง Wealthy Thai จะพามาชมกันว่ามีนโยบายใดบ้างที่สร้างผลกระทบต่อการทำกำไรใน 4 อุตสาหกรรม ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
.
โดยเริ่มกันที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มขึ้นเป็น 450 บาททันที เพิ่ม 33.5% จากค่าแรงปัจจุบัน จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มอิงแรงงานสูง อาทิ ร้านอาหาร, รับเหมา, โรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ และสถานีบริการน้ำมัน
.
สำหรับภายใต้สมมติฐานดังกล่าว จะปรับเพิ่มตั้งแต่ปี 2567 โดยให้ปัจจัยอื่นคงที่ ประเมินทุกๆ 10% ที่ปรับขึ้นจะกระทบกำไรตลาดราว -2.3 พันล้านบาท การขึ้น 33.5% จะกระทบราว -7.7 พันล้านบาท และกระทบกำไรตลาดต่อหุ้นน้อยกว่า 1 บาท
.
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า นโยบายที่กระทบต่อตลาดหุ้น หากพรรคการเมืองของรัฐบาลประกอบไปด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะมีนโยบายลดราคาน้ำมัน แก๊ส และไฟฟ้าทันที, ลดค่าไฟ อย่างน้อย 70 สตางค์ต่อหน่วย, ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ฟรี, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน, ปรับค่าแรงทันที เป็น 450 บาทต่อวัน และพักหนี้เกษตรทั้งต้นและดอก 3 ปี
.
ด้วยนโยบายข้างต้นประเมินว่า 4 อุตสาหกรรมนี้จะได้รับผลกระทบ ประกอบไปด้วย กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า GPSC, BGRIM, GULF จะถูกกดดันมาร์จิ้นของโรงไฟฟ้า SSP, กลุ่มปิโตรเคมี PTT, PTTEP จะถูกกดดันมาร์จิ้นของผู้ผลิตน้ำมัน, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง SEAFCO, STEC, PYLON, CK จะกระทบต่อต้นทุนจากการขึ้นค่าแรง และกลุ่มไฟแนนซ์ MTC, SAWAD, KTC, AEONTS ทำให้รายได้ลดลง
.
อย่างไรก็ดีถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะมีนโยบากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ,เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน, ปริญญาตรี เริ่มต้น 25,000 บาท, เพิ่มนักท่องเที่ยวเป็น 120 ล้านคน, เปลี่ยนรถเมล์กรุงเทพเป็นรถไฟฟ้า, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และดันไทยเป็น “Wellness Destination”
.
โดยจะช่วยให้หุ้นเหล่านี้ได้รับประโยชน์ ประกอบไปด้วยหุ้นค้าปลีก CPALL, MAKRO ที่นโยบายเน้นกระตุ้นกำลังซื้อ, หุ้นท่องเที่ยว AOT, AAV นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุน ,หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า NEX เนื่องจากเป็นผู้ประกอบ E-Bus รายใหญ่สุด และหุ้นโรงพยาบาล BH, BDMS, THG, EKH ปริมาณผู้ใช้บริการที่เป็นต่างชาติเพิ่มขึ้น
.
ด้านพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ภายใต้นโยบายปรับค่าแรงทันที เป็น 450 บาทต่อวัน, หวยใบเสร็จ สนับสนุนร้านค้ารายย่อย, รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัดภายใน 7 ปี, ลดภาษี SME เหลือ 0-15%, ให้ทุน SME ยืมตั้งตัว, รถเมล์และรถไฟฟ้า 8-45 บาท ตลอดสาย และตรวจสุขภาพประจำปีฟรี
.
ประเมินว่าจะตัวช่วยหนุนให้หุ้นค้าปลีก GLOBAL, DOHOME, HMPRO ที่สินค้าก่อสร้างและเกษตรขยายตัวจากนโยบายเงินดิจิทัลบวกต่อ GLOBAL (มีสาขามากสุด) หุ้นชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า EA, BYD ด้วยยอดขายแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นและเป็นบวกต่อ BYD จากโอกาสที่จะได้รับสัมปทานการเดินรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
.
พร้อมกันนี้หุ้นไฟแนนซ์และธนาคาร เกษตรกรมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น บวกต่อกลุ่มผู้ค้าสินค้าเกษตร SMEs, หุ้นขนส่งสาธารณะ BEM, BTS เนื่องจากปริมาณผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น และหุ้นโรงพยาบาล BCH, CHG, BDMS โดยโรงพยาบาลที่มีผู้ประกันสังคมได้รายได้เพิ่มขึ้นและอาจทำให้คนไข้ใช้บริการรักษาต่อที่โรงพยาบาล