ห้องเม่าปีกเหล็ก

“ช ทวี” คือใคร ทำไมถึงคว้าชัย “รถเมล์ NGVขสมก.”

โดย slark
เผยแพร่ :
69 views

ที่มา : ผู้จัดการ สุดสัปดาห์

---------------------------

“ช ทวี” คือใคร ทำไมถึงคว้าชัย “รถเมล์ NGVขสมก.”

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตั้งเรื่องชงกันมาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่ก็มาสำเร็จในปี 2560 นี้ เมื่อ “องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.”โดย คณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด ขสมก.) มีมติให้ “กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO (Consortium SCN-CHO)”ซึ่งมี บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ร่วมกับ บริษัทสแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน) หรือ SCN ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ชนะในการประมูลโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสาร จำนวน 489 คัน ราคากลาง 4,020 ล้านบาท ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding )

โดยที่ประชุมบอร์ด ขสมก. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีมติรับรองมติที่ประชุมบอร์ด ขสมก. เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 อนุมัติการจัดซื้อรถไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รัฐบาล คสช.น่าจะดีใจที่โครงการนี้ประสบความสำเร็จลงสมดังที่ตั้งเป้าหมายไว้

ประชาชนคนกรุงเทพฯ เองก็คงจะดีใจที่ได้นั่งรถเมล์ใหม่กันเสียที หลังจากรอคอยกันมากว่า 10 ปี

นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานบอร์ดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ให้สัมภาษณ์ว่า จะมีการลงนามสัญญาในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ และหลังจากนั้นตามเงื่อนไขภายใน 90 วัน หลังลงนาม คาดว่าจะเป็นเดือน มี.ค.เอกชนต้องส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 100 คัน ให้ ขสมก. และใน 120 วัน เอกชน ส่งมอบรถอีก 100 คัน และใน 150 วัน ส่งมอบรถอีก 100 คัน และลอตสุดท้ายเอกชนจะต้องส่งมอบรถที่เหลืออีก 189 คัน ภายใน 180 วัน ซึ่งคาดว่าจะครบในเดือน มิ.ย.61

แต่เรื่องคงไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะชัยชนะของกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ยุติลงแบบงงๆ ด้วยการเสนอราคาเกินจากราคากลางที่กำหนดไว้ และคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างฯได้เจรจาต่อรองหลายต่อหลายรอบจนได้ข้อยุติที่ วงเงิน 4,221 ล้านบาท ซึ่งเกินจากราคากลางประมาณ 5% หรือตกอยู่ที่คันละประมาณ 8.6 ล้านบาท(รวมค่าบำรุงรักษา)

อย่างนี้ก็ได้เหรอ...
นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้น

ที่สำคัญคือ เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังก็จะเห็นว่า บอร์ด ขสมก.ต้องมีมติถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน โดยมติอนุมัติให้จัดซื้อครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ก่อนที่จะนำเข้าบอร์ด ขสมก.เพื่อรับรองมติซ้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา

“สำหรับสาเหตุที่ต้องมีการเสนอเข้าบอร์ด ขสมก.อีกครั้ง เนื่องจากเพื่อรวบรวมความคิดเห็นของบอร์ดแต่ละคน ให้ลงในรายงานการประชุมครั้งนี้ เพราะบอร์ดแต่ละท่านก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมบอร์ด ขสมก.ได้มีมติอนุมัติผลประกวดราคาที่ 6 ต่อ 4 ส่วนขั้นตอนต่อไป ทาง ขสมก.จะรายงานให้กระทรวงคมนาคมรับทราบและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบผลการประกวดราคาต่อไป”นายณัฐชาติ แจกแจง

ทั้งนี้ เมื่อดูมติก็จะเห็นว่า มิได้เป็นเอกฉันท์ และอาจจะใช้คำว่า “เฉียดฉิว” เลยก็ว่าได้ และการที่บอร์ดมีมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์นั้น บอร์ดที่ไม่เห็นด้วยมีข้อกังวลประการใด

ทำไปทำมาสังคมเริ่มบังเกิดความสงสัยต่อการตัดสินใจของ บอร์ด ขสมก.ชุดนี้ว่า ทำไมถึงต้องเป็นกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO พร้อมเกิดคำถามตามมาด้วยว่า รถเมล์ NGVนั้น มีเทคโนโลยีที่ล้าสมัยไปแล้วหรือไม่ และทำไมถึงไม่เปลี่ยนไปเป็นรถเมล์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าหรือระบบไฮบริดที่น่าจะตอบสนองได้ดีกว่า

ขณะเดียวกันก็เริ่มเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงว่า กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO (Consortium SCN-CHO) ซึ่งมีบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ร่วมกับบริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน) หรือ SCN เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงสามารถคว้างานชิ้นนี้ไปได้ เพราะหากยังจำกันได้ ช ทวีเคยชนะการประมูลรถเมล์ NGV ในครั้งแรกไปแล้ว ก่อนที่จะมีการร้องเรียนและเปิดประมูลใหม่ซึ่งก็ทำให้ “เบสท์รินกรุ๊ป” เบียดเข้ามา และในที่สุดก็ตกม้าตายเมื่อติดปัญหาเรื่องรถเมล์นำเข้าจาก “กรมศุลกากร”

บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) มีนางเพ็ญพิมล เวศย์วรุตม์ เป็นประธานกรรมการบริษัท มีนาย สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 41.22%

ช.ทวีเป็นบริษัทกลุ่มครอบครัวทวีแสงสกุลไทย โดยนายชอ ทวีแสงสกุลไทย และนางอุษา ทวีแสงสกุลไทย เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจรถขนส่งในจังหวัดขอนแก่น และเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายรถบรรทุกตั้งแต่ปี 2511 ต่อมาได้ขยายธุรกิจไปยังการผลิต และต่อตัวถังรถบัส ในปี 2523 ได้ขยายการผลิต และต่อตัวถังรถพ่วง-กึ่งพ่วง และรถขนส่งประเภทต่างๆ กลุ่ม ช.ทวี ได้พัฒนาเทคโนโลยีรถพ่วง รถเพื่อการพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง และมีความพิถีพิถันในการออกแบบตัวถังรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับแชสซีรถบรรทุกของลูกค้าเพื่อให้ได้โครงสร้างตัวถังบรรทุกที่แข็งแกร่งทนทานเหมาะสมกับประเภทของงานขนส่ง ใช้งานได้ในทุกสภาพถนน และทนทานต่อทุกสภาพภูมิอากาศ

ในรุ่นที่สองของกลุ่ม ช.ทวี นำโดยนายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย บุตรชายของนายชอ และนางอุษา ซึ่งจบการศึกษาด้านวิศวกรรมยานยนต์ และการบริหารธุรกิจ จากประเทศญี่ปุ่น เข้ามารับช่วงต่อและได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด (“บริษัทฯ” หรือ “CHO”) เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2537 โดยการร่วมทุนระหว่างบริษัทของครอบครัว คือ บริษัทขอนแก่น ช.ทวี (1993) จำกัด (“CTV-1993”) และบริษัทผู้ผลิตตัวถังรถบรรทุก และรถพ่วงชั้นนำจากประเทศเยอรมนี คือDOLL Fahrzeugbau GmbH (“DOLL”)เพื่อประกอบธุรกิจออกแบบ ผลิตประกอบตัวถัง และติดตั้งระบบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับตัวถังรถบรรทุก รถพ่วง และรถขนส่งเพื่อการพาณิชย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 10.00ล้านบาทโดย CTV-1993 และกลุ่มผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 74 ของทุนจดทะเบียน และ DOLL ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 26 ของทุนจดทะเบียน

นอกเหนือจากรถเมล์ NGV แล้ว ก่อนหน้านี้ ช.ทวี สามารถคว้างานเครื่องเก็บค่าโดยสาร หรือ Cash box ที่นำร่องติดตั้งบนรถเมล์ ขสมก. มูลค่า 1,665,000,000 บาท แต่เมื่อติดตั้งไปได้ระยะหนึ่งและพบปัญหามากมายจนกลายเป็นที่ทิ้งเศษขยะของผู้โดยสาร กระทั่งบอร์ด ขสมก.ต้องมีคำสั่งให้ยุติการติดตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งโครงการปรับปรุงรถโดยสารในส่วนของการปรับปรุงแชสซีส์ และครอบตัวถังรถโดยสารใหม่ จำนวน 57 คัน วงเงิน 114 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถส่งมอบให้ บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือบขส.

ขณะที่ บริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน) มี “ทนง พิทยะ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานกรรมการ มี “นายธัญชาติ กิจพิพิธ” เป็นประธานกรรมการบริหาร มี “ดร.ฤทธี กิจพิพิธ” เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ ก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร ได้แก่ธุรกิจสถานีบริการก๊าซ ธรรมชาติหลักโดยเอกชน ธุรกิจขนส่งก๊าซ NGV ธุรกิจ สถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ธุรกิจ ออกแบบ รับเหมา ติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ก๊าซ NGV ธุรกิจติดตั้งระบบก๊าซในรถยนต์ ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ และธุรกิจอื่นๆ

ทั้งนี้ SCN มีครอบครัวกิจพิพิธเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 63.05% มีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท

ในปี 2559 ถือเป็นปีที่ SCN ซึ่ประสบความสำเร็จในการผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 307.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 82.57 ล้านบาท คิดเป็น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 225.36 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมทำได้ 2,507.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 2,095.05 ล้านบาท

กล่าวสำหรับการจัดซื้อ ข้อสงสัยในเรื่องซื้อแพงกว่าราคากลางนั้น บอร์ด ขสมก. ยืนยันว่า ไม่มีปัญหา เพราะได้ยึดระเบียบการจัดซื้อที่กำหนดกรณีที่เสนอราคาสูงกว่าราคากลางไม่เกิน 10% ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 57 (1) กำหนดว่า “....หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคา และราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างหรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง หรือต่อรองราคาแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีกแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้ที่เสนอราคารายนั้น”

แต่ในเรื่องการบำรุงรักษาคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะหลังจากใช้งานไปได้สักระยะหนึ่งคือประมาณ “4 ปี” ข้อสงสัยในเรื่องนี้จะมีคำตอบออกมาได้ชัดเจนอย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังในเรื่องการจัดซื้อของ ขสมก.ก่อนหน้านี้ จะพบเห็นถึง “สิ่งที่ต้องพึงระวัง” และคนที่รัก ขสมก.ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่”

งานนี้ ใครได้ใครเสีย ไม่ทราบได้

แต่ที่แน่ๆ คือ หุ้นของทั้ง 2 บริษัทซึ่งล้วนแล้วแต่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลามไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


slark