ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องอนาคตแนวโน้มธุรกิจ “ปูนซิเมนต์ไทย”

โดย ขบวนสุดท้าย
เผยแพร่ :
408 views

ส่องอนาคตแนวโน้มธุรกิจ “ปูนซิเมนต์ไทย”

จะเติบโตมากแค่ไหน เมื่อดีมานด์กำลังฟื้นตัว

.

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC หนึ่งในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นไทย ที่ล่าสุดได้ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 ออกมาแล้ว ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

.

ขณะที่ รายได้จากการขายสำหรับงวดไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ระดับ 128,748 ล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณขายและราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง

.

ทั้งนี้ Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปหาคำตอบ และแกะงบไส้ในงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ของ SCC กันว่าแท้จริงแล้วผลประกอบการเป็นอย่างไร รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2566

.

รวมถึงสิ้นปี 2566 ทาง SCC จะมีความสามารถสร้างผลกำไรได้มากน้อยแค่ไหน และจากปัจจัยอะไร อีกทั้งจะต่อยอดด้วยข้อมูลมุมมองจากเหล่านักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น SCC ว่าแท้ที่จริงแล้วราคาเหมาะสมของหุ้นควรจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่

.

โดยการที่ SCC ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 ที่ระดับ 16,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น แท้ที่จริงแล้ว มีกำไรส่วนเพิ่มที่เรียกได้ว่าเป็น “กำไรลม”

.

เพราะเป็นกำไรที่เกิดขึ้นมาจากการบันทึกกำไรพิเศษการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics ภายใต้ธุรกรรมการรวมธุรกิจระหว่าง SCG Logistics และ JWD มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้การบันทึกดังกล่าวเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าความคาดหมายของนักวิเคราะห์

.

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า กำไรส่วนที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้นเป็นกำไรที่ไม่ได้อยู่ในคาดการณ์ของฝ่ายวิเคราะห์ และตลาด

.

ทั้งนี้ แม้ไม่รวมรายการดังกล่าว ผลประกอบการไตรมาส 1/66 ยังถือว่าดีกว่าที่เรา และ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 12-27% สาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไร และ ผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีทำได้มากกว่าที่คาด

.

อย่างไรก็ตาม หากนับเฉพาะผลการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมกำไรการปรับมูลค่ายุติธรรม และขาดทุน สินค้าคงคลัง 51 ล้านบาท) จะทำให้มีกำไรปกติจะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากทั้ง 3 ธุรกิจ

.

โดยเป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเคมีถูกกดดันจากปริมาณขาย และอัตรากำไร, ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงาน – ต้นทุนวัตถุดิบ, ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ถูกกดดันจากอุปสงค์ในภูมิภาคอาเซียน – จีน

.

[นักวิเคราะห์ประสานเสียงงบไตรมาส 2 โต]

สำหรับ แนวโน้มไตรมาส 2/2566 บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติดีขึ้นจากไตรมาส 1/2566 แต่จะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากการทยอยฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเคมีตามอุปสงค์หลังจีนเปิดประเทศ ประกอบกับ ปริมาณผลิตปิโตรเคมี Polyolefins เพิ่มขึ้น จากการกลับมาผลิตของโรงงาน ROC เต็มไตรมาส

.

อีกทั้งรับรู้รายได้เงินปันผลรับเพิ่มขึ้นตาม ฤดูกาล (โดยเฉพาะจากการลงทุนในบริษัทค่ายยานยนต์) รวมถึงผลประกอบการของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตจีน ท่ามกลางต้นทุนวัตถุดิบ - ค่าขนส่งลดลง นอกจากนี้การยังมีอัตรากำไรธุรกิจวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นหลังต้นทุนพลังงาน มีสัญญาณลดลง

.

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีมุมมองในทิศทางเดียวกันว่า แนวโน้มกําไรปกติในไตรมาส 2/2566เชื่อว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 1/2566 เกิดจากปริมาณการขายเม็ดพลาสติก Polyolefin ที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับปกติ 5 แสนตัน/ไตรมาสอีกครั้ง จากการเดินเครื่องโรงงานระยองโอเลฟินส์เต็มไตรมาส

.

สำหรับในส่วนของ Spread ผลิตภัณฑ์หลักทั้ง HDPE, PP เทียบกับ Naphtha เชื่อว่ายังไม่เห็นการฟื้นตัวมากนัก จากหลายปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การควบคุม Supply การผลิตน้ำมันจากกลุ่มโอเปกที่ส่งผลต่อต้นทุน Naphtha และกําลังการผลิตใหม่ของโรงงาน Olefin ในภูมิภาคที่ทยอยเข้ามา

.

ขณะที่ภาพธุรกิจปิโตรเคมีครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก บนสมมุติฐานว่าการเปิดประเทศของจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี 40% ของทั้งโลก จะสร้าง Impact เชิงบวกในแง่ Demand มากขึ้นเรื่อยๆ

.

อีกทั้งกําลังการผลิตใหม่เริ่มมีออกมาน้อยลง โดยธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะผ่านพ้นวัฏจักรขาลงในปี 2567 เนื่องจากการประกาศก่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์ใหม่ของโลกที่ลดลงอย่างมีนัยสําคัญในช่วงระหว่างปี 2563-2565 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บวกกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ

.

ดังนั้นเองส่งผลให้ภาพ Demand-Supply ของธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งในปี 2567 ซึ่งคาดหมายว่าอัตราการใช้กําลังการของโรงงานโอเลฟินส์ทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป และทําให้ SCC ได้รับผลบวกเต็มที่จากกําลังการผลิตใหม่ (Upstream 1.35 ล้านตันDownstream 1.4 ล้านตัน) ของ Longson Petrochemical Complex(LSP) ในประเทศเวียดนามที่เปิดดําเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/2566

.

[โบรกฯประเมินราคาเหมาะสม]

ทั้งนี้ราคาหุ้น 12% ตั้งแต่ตั้นปี ซึ่งปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต -2.0 SD และมีสถานะถือครองจากนักลงทุนต่างชาติ Under-owned อยู่ที่ 11% (ค่าเฉลี่ย 5 ปีที่19%) นับว่าหุ้นมี Downside จำกัด และสะท้อนปัจจัยลบจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของSpread ปิโตรเคมีช่วงครึ่งแรกปี 2566 ไปมากแล้ว

.

ดังนั้นด้วย Risk vs Reward ที่เริ่มน่าสนใจ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” (เดิม “TRADING”) ราคาเหมาะสม 360 บาท ระยะสั้นคาดผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ออกมาดีกว่าคาดจะเป็น Catalyst หนุนราคาหุ้น

 

 

 

 


ขบวนสุดท้าย