ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุปเหตุการณ์ตลาดหุ้นปี2562 โดย อ.โจ ลูกอีสาน

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
49 views

กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2563 พี่น้องชาวสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่สุบรรณ พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่ประชา พี่นริศ พี่โดม พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร พี่วรรณ พี่หน่อง พี่เล็ก น้องๆ ทีวีไอทุกคน ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย มีความสุขกาย สบายใจ ตลอดปี ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นเช่นไรครับ

 

ตลาดหุ้นปี 2562 เปรียบเหมือนรถไฟฟ้า วิ่งไปวิ่งมา วนกลับมาที่เดิม โดยเริ่มต้นปี ดัชนีฟื้นตัวจากปลายปีก่อน ก่อนขึ้นๆลงๆ ทีละเล็กละน้อย จนทำจุดสูงสุดที่ 1748 จุดช่วงต้นเดือนกรกฎาคม แล้วค่อยๆ ไซด์เวย์ลงจนทำจุดต่ำสุดที่ 1543 จุด กลางเดือนธันวาคม ก่อนเด้งขึ้นมาปิดสิ้นปีที่จุดใกล้เคียงปีก่อนที่ 1579.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.02 % หากรวมปันผลอีกประมาณ 3.27 % จะให้ผลตอบแทนรวม 4.29 % (ดัชนีผลตอบแทนรวมหรือ TRI)

 

ในปี 2562 วันที่ 28 พฤษภาคมมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยได้ทำสถิติใหม่ที่ประมาณ 2.04 แสนล้านบาท เนื่องจากการปรับพอร์ตของกองทุนต่างชาติ ที่ซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น เพราะสาเหตุเพราะต้องปรับตามดัชนี MSCI ที่กองทุนเหล่านี้อ้างอิง และเหตุผลที่ MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย ไม่ใช่เหตุทางเศรษกิจ แต่เป็นเหตุผลทางเทคนิค ที่เริ่มมีการคำนวณรวมหุ้นใน NDVR รวมกับหุ้นปกติ ทำให้น้ำหนักของหุ้นประเทศไทยเพิ่มขึ้น สัดส่วนหุ้นไทยในพอร์ตรวมหุ้นโลกจึงต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

 

หุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นมีประมาณ 200 กว่าตัว ที่เหลือคือติดลบ จากหุ้นทั้งตลาดประมาณ 700 บริษัท หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นคือหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร กลุ่มค้าปลีกบางตัว ธนาคารขนาดเล็ก กลุ่มขนส่งมวลชน กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดีผิดปกติคือกลุ่มกอง REIT และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นผลจากสภาวะดอกเบี้ยตกต่ำ ทำให้นักลงทุนมองหาผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนแต่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้กอง REIT- โครงสร้างพื้นฐาน คือคำตอบ กลุ่มที่แย่คือบริษัทที่ผลิตสินค้าส่งออก กลุ่มหุ้นขนาดเล็ก (ดัชนีหุ้น MAI ลดลงถึง 13.13 % ) กลุ่มหุ้นอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่

 

ตลอดทั้งปี ตลาดหุ้นถูกครอบงำทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ดุเดือดตลอดปี โดยผลัดกันโต้ตอบขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกัน มีการแบนบริษัทเทคโนโลยี แต่สุดท้ายในสงครามที่จะไม่มีใครชนะ ก็สงบลงชั่วคราวโดยการทำข้อตกลงการค้าในเฟสแรก ( แต่รอติดตามชมเฟสต่อ ๆไป)

 

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่แท้จริงที่กระทบต่อผลประกอบการบริษัท ปัจจัยลบที่ชัดเจนคือการแข็งค่าของเงินบาท ผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี ทำให้เงินบาทเป็น safe haven ของนักค้าเงิน ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าอันดับต้นๆ ของโลก ทั้ง ๆที่เศรษกิจขยายตัวต่ำมาก เป็นความย้อนแย้งที่ส่งผลเสียต่อหลากหลายธุรกิจ เช่นการท่องเที่ยว เงินบาทที่แข็งค่าทำให้ความคุ้มค่าในการมาท่องเที่ยวในไทยลดลง และที่ส่งผลที่สุดคือทำให้การส่งออก ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทย ทำได้อย่างยากลำบากขึ้น นอกเหนือจากสงครามการค้า ที่ส่งผลลบต่อกำลังซื้อแล้ว ค่าเงินบาทที่แข็งมาก ส่งผลให้การส่งออกปีที่ผ่านมาติดลบ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย การแข็งค่าของเงินบาท ยังทำให้การส่งออกสินค้าเกษตร แข่งขันได้ยากขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรหลักแทบทุกตัว ราคาลดลง ส่งผลต่อกำลังซื้อของเกษตรกรทั้งประเทศด้วย ไม่รวมถึงภัยแล้งที่เกิดขึ้นแทบทุกปี และปี 2563 มีแนวโน้มว่าจะแล้งมากกว่าปี 2562

 

การเลือกตั้งที่เกิดในปีที่ผ่านมา ถูกคาดหวังก่อนหน้าว่าอาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษกิจ กลับกลายเป็นว่าทำให้เกิดสุญญากาศ การใช้เวลายาวนานเพื่อตั้งรัฐบาลอย่างทุลักทุเล ทำให้งบประมาณปี 2563 ยังไม่ได้ผ่านสภา ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐชะงักงัน


นอกจากนั้นตลาดหุ้น ยังมีปัจจัยทางเทคนิคที่ทำให้กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนในปี 2562 ลดลงจากปี 2561 คือ พระราชบัญญัติแรงงานฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ ทำให้หลายบริษัทต้องค่าใช้จ่ายย้อนหลังเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียว นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้บริษัทพลังงานต้องบันทึกการด้อยค่าของสินค้าในคลัง และเศรษกิจโดยรวมที่ค่อนข้างซบเซา ทำให้ P/E ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มจากประมาณ 17 เท่า เป็น 19 เท่า ทั้งที่ดัชนีทรงตัวเท่าๆเดิม

 

ตลาดหุ้นต่างประเทศ ปี 2562 ที่ผ่านมาแม้มีสงครามการค้า แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับสดใส แทบทุกตลาด ผิดลิบลับกับตลาดหุ้นไทย ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา มีเพียงตลาดหุ้นประเทศใน southeast Asia เท่านั้นที่แย่พอๆ กับตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นประมาณ 20 % MSCI World Index เพิ่มขึ้น 24 % ตลาดที่โดดเด่นมากคือสหรัฐอเมริกา โดยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นเกือบ 30 % ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ ปัจจัยที่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกคือ ความกลัวว่าเศรษกิจจะถดถอยจากสงครามการค้า ทำให้หลายประเทศมีการผ่อนคลายทางการเงิน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง ทำให้หุ้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมากขึ้น

 

พอร์ตหุ้นส่วนตัวปีนี้ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเล็กน้อย แต่แพ้ดัชนี SET TRI โดยแพ้ตลาด 2 ปีติดต่อกัน ปีนี้ครบรอบ 20 ปี ของการลงทุน สรุปว่าให้ผลตอบแทนติดลบ 2 ปี แพ้ตลาด 3 ปี ระหว่างปี 2562 มีการซื้อหุ้นเพิ่มเป็นประมาณ 70 ตัว ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ตัดสินใจผิดพลาด เพราะหุ้นที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษกิจมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ แม้จะมีหุ้นบางตัวที่ให้ผลตอบแทนดี แต่ไม่สามารถชดเชยกับหุ้นที่ขาดทุน ซึ่งมีเยอะกว่ามาก แต่ด้วยการ Hedge พอร์ตด้วยการ short future และ short หุ้นบางตัว รวมถึงการกระจายไปลงทุนต่างประเทศ ทำให้บรรเทาผลกระทบไปได้บ้าง พอร์ตหุ้นที่เวียดนามให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก ถึงแม้ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 8 % อีกส่วนได้นำไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยการซื้อ ETF ( หรือกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหุ้น ) ซึ่งอิงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งให้ผลตอบแทนทีดีมาก แต่ผมได้ซื้อไปเพียงเล็กน้อยของพอร์ตรวม

 

Disruption ปีนี้เป็นปีที่ที่เริ่มสังเกตเห็นผลกระทบจาก disruption ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งได้ เป็น tsunami of disruption มองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีสื่อสาร 3 G 4 G และสมาร์ทโฟน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องต่อธุรกิจต่างๆ ถ้วนหน้า การถือหุ้นยาวนาน เริ่มถูกตั้งคำถามว่าเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า ในเมื่อธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ คำถามแรกที่ต้องถามตัวเอง ก่อนการซื้อหุ้นสักตัวทุกวันนี้ คือบริษัทที่เราจะลงทุน มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจาก disruption เร็วๆนี้หรือไม่ ก่อนไปดูข้อมูลคุณภาพด้านอื่นๆ ธุรกิจด้านสื่อทีวี บรรจุภัณฑ์พลาสติกบางชนิด ธุรกิจอสังหา ห้างที่เปิดให้เช่าพื้นที่ คือกลุ่มที่เริ่มรับผลกระทบจากการ disrupt ของสื่ออินเตอร์เน็ต รถไฟฟ้าขนส่งมวลตน แอปสั่งอาหาร และที่ชัดเจนที่สุดคือการขายออนไลน์ ที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านอีกต่อไปแม้กระทั่งนักลงทุนรายย่อยเองก็ถูก disrupt จากในอดีตที่สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยประมาณ 80 % และได้ลดลงต่อเนื่องจนกระทั่งเหลือไม่ถึง 50 % ในปัจจุบัน ต่างจากนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มสัดส่วนขึ้นมาทดแทน น่าคิดว่า รายย่อยจะปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เพื่อให้ยังมีที่ยืนในตลาดหุ้นเคียงคู่กับนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ที่กุมความได้เปรียบแทบทุกด้าน

 

วิกฤติหุ้นตัวเล็ก ชั่วคราวหรือถาวร 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นที่ให้ตอบแทนแย่ที่สุดคือกลุ่มหุ้นตัวเล็ก จากในอดีตที่ให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่น ทำให้นักลงทุนหลายคนลืมตาอ้าปากได้ กลับกลายมาเป็นหุ้นที่ทำให้ฝันร้าย ใครถือหุ้นตัวเล็ก มีโอกาสสูงมากที่จะทำผลตอบแทนได้แย่ (เหมือนที่ผมเป็น ) ทำไมทุกอย่างกลับตาลปัตรเช่นนี้ เหตุผลหนึ่งที่คิดว่าเป็นไปได้คือในยามที่เศรษกิจเริ่มไม่ดี หลายธุรกิจถูก disrupt ประชาชนมีกำลังซื้อน้อยลง ทุกธุรกิจเริ่มรัดเข็มขัด กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กจะเริ่มได้รับผลกระทบก่อน เพราะอำนาจต่อรองน้อยกว่า สินค้าจำเป็นน้อยกว่า ต้นทุนสูงกว่า กำไรของกลุ่มนี้จะลดลง และนั่นทำให้ราคาหุ้นตัวเล็กลดลงด้วย แต่ยังมีหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กอีกบางตัวที่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนสูง นั่นเพราะความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเหล่านั้นยังดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ว่า ผลประกอบการคือเจ้ามือตัวจริง


อีกเหตุผลที่เป็นไปได้ที่หุ้นตัวเล็กลดความนิยมลง คือประมาณเม็ดเงินที่เข้ามาซื้อขายหุ้นเหล่านี้ลดลง ผลจากการลดลงของสัดส่วนนักลงทุนรายย่อย และกลายเป็นว่ากลุ่มที่มีเม็ดเงินที่ dominate ตลาดคือกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ที่มีกระแสเม็ดเงินเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ซึ่งหุ้นที่กลุ่มสถาบันนิยมซื้อขายคือหุ้นกลุ่มขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ยิ่งทำให้การซื้อขายหุ้นขนาดเล็ก ค่อยๆซึมลง พีอีที่ซื้อขายก็ปรับลดลงด้วย

 

หุ้นไอพีโอ ปี 2562 มีหุ้นเข้าใหม่ประมาณ 32 บริษัท ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่เช่น AWC BAM เป็นที่น่าสังเกตชัดเจนว่าคือหุ้นไอพีโอหลายตัว เปิดซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าจอง และส่วนใหญ่ราคาจะร่วงลงอีก หลังจากซื้อขายผ่านไปไม่นาน สาเหตุก็คือเหตุผลเดิมๆ คือขายแพง บางตัวเข้าตลาดด้วยระดับ P/E เป็นร้อยเท่า หรือหลายสิบเท่า ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วเคลิ้มคือมีการเติบโตสูง ซึ่งสุดท้ายทำได้จริงบ้างไม่จริงบ้าง การนำเอาพื้นฐานในอนาคตมาขายในปัจจุบัน ทำให้หุ้นมีราคาแพง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลือกคล้ายๆกันที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว พื้นฐานไม่ได้ต่างกันมากมาย แต่ราคาขายต่างกันเป็นเท่าตัว สุดท้ายนักลงทุนก็จะฉลาด แต่ก่อนฉลาด บริษัทเหล่านี้และผู้เกี่ยวข้องก็รับเงินไปแล้ว เมื่อไหร่ที่นักลงทุนเริ่มมีสติ ฟองสบู่ไอพีโอก็คงแตกลง

 

หุ้นโรงไฟฟ้า ปีที่ผ่านมากลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะขนาดใหญ่ ขนาดกลาง เช่น EGCO RATCH GULF BGRIM ราคาเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น มีวอลุ่มการซื้อขายอย่างคึกคัก ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้มีระดับราคาที่ค่อนข้างสูง ผิดปกติวิสัยของกลุ่ม utility ที่มักซื้อขายกันที่ระดับพีอีต่ำ story อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้น ประการแรกอาจเป็นสภาวะดอกเบี้ยตกต่ำ หุ้นที่จะได้รับประโยชน์คือกลุ่มสาธารณูปโภค เช่นไฟฟ้า เพราะดอกเบี้ยจ่ายลดลง จ่ายปันผลค่อนข้างสูง พีอีไม่สูงมาก แต่หุ้นโรงไฟฟ้าบางตัวไม่เข้าข่ายนี้ แต่ราคากลับร้อนแรง แน่นอนว่าต้องมี storty การเติบโตหล่อเลี้ยงราคาหุ้น ยังเติบโตมากๆ ราคาสามารถขึ้นได้ไม่จำกัด แต่การเติบโตเหล่านี้ ดีเกินจริงหรือไม่ ทำไมการได้โครงการดูเหมือนง่ายดายไปหมด ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แต่สุดท้ายจะทำได้จริงตามที่คาดหรือไม่ อนาคตจะเป็นคำตอบ แต่วันนี้ราคาหุ้นตอบรับไปแล้ว !

 

SSF หรือ Super Saving Fund ปี 2562 เป็นปีสุดท้ายที่จะมีกองทุนประหยัดภาษี LTF และภาครัฐได้ออกกองทุนประหยัดภาษีแบบใหม่เพื่อทดแทน นั่นคือกองทุน SSF โดยสาระสำคัญที่แตกต่างระหว่างกองทุน LTF และ SSF คือประเภทสินทรัพย์ลงทุน กองทุน LTF เดิม กำหนดให้ต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65 % แต่กองทุน SSF สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ทุกประเภท ดังนั้นบทบาทที่กองทุนแบบใหม่ จะลงทุนในหุ้นย่อมลดลง เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการลดภาษี แต่ไม่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงแบบหุ้น ทั้งที่การออมในหุ้นระยะยาวเช่นนี้ มีโอกาสขาดทุนน้อยมาก นอกจากนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยง เช่นกองทุนตราสารหนี้ ยังให้ผลตอบแทนต่ำ ไม่สามารถทำให้คนที่ลงทุนมีเงินเพียงพอในตอนเกษียณ ดังนั้นผมเชื่อว่ากองทุน SSF ไม่ตอบทั้งเรื่องความพอเพียงของเงินออมและการส่งเสริมตลาดทุนเท่ากับกองทุน LTF แบบเดิม

 

อนาคตหุ้นไทย หลังจากทำผลตอบแทนมาได้แย่ ติดต่อกัน 2 ปี ทำให้ผมเริ่มมองอนาคตหุ้นไทยแนวโน้มเป็นลบมากขึ้น ( คนที่ยังกำไรย่อมไม่เห็นด้วย ) ประการแรก หากสมมุติให้ประเทศไทยคือหุ้น 1 ตัว ดังนั้นทั้งโลกมีหุ้นประมาณ 200 ตัว หากเราเป็นประชากรโลก เราจะซื้อหุ้น THAI หรือไม่ หากเราคิดวิเคราะห์เหมือนการเลือกหุ้นปกติ นั่นคือเราจะเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน แล้วประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ ( ประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง มักทำได้ดีในการแข่งขันด้านอื่นๆด้วย ดูเหรียญการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ปีที่ผ่านมาสิ ) ผมเชื่อว่ามีไม่กี่อุตสาหกรรมที่ไทยพอจะแข่งขันกับต่างชาติได้ แต่ส่วนใหญ่เราเป็นผู้แพ้ เป็นผู้ซื้อเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ และยิ่งการมาของ shopping online ที่เพิ่งเริ่มมาได้ไม่นาน แต่เริ่มส่งคลื่นผลกระทบต่อเศรษกิจไทยแล้ว โดยที่ภาครัฐ คนไทย ยังไม่ตระหนักรู้ ปัจจุบัน platform การค้าออนไลน์ เป็นของต่างชาติแทบทั้งสิ้น แต่ที่แย่กว่านั้นคือ สินค้าที่ซื้อขายออนไลน์ เริ่มมีสัดส่วนเป็นสินค้านำเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เงินไหลออก จากที่จะเคยหมุนเวียนในประเทศ มันย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ เมื่อการผลิตลดลงเพราะไม่มีคนซื้อ โรงงาน รวมถึง cluster และ SME ที่เกี่ยวเนื่องก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายการผลิตก็จะค่อยๆหายไปจากไทย การจ้างงานก็หายไป แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร เมื่อมีการซื้อขายเป็นหลายแสนล้าน แต่เงินไม่หมุนเวียนในประเทศสักบาท รัฐบาลต้องรู้เท่าทัน และออกกฎ ระเบียบ รับมือปัญหาเหล่านี้ ก่อนที่จะสายเกินแก้

 

ซ้ำร้ายจากโครงสร้างประชากรไทย ที่เข้าสู่สังคมที่มีคนสูงอายุเป็นสัดส่วนที่มาก ผู้สูงอายุมักไม่มีรายได้ หรือมีน้อย แต่มีค่าใช้จ่ายเยอะ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล เป็นความไม่สมดุลของรายได้และรายจ่าย ส่วนต่างนี้ถูกคาดหวังว่ารายได้จาก ลูก หลานจะช่วยทดแทนได้ แต่ในความเป็นจริงจะเป็นไปได้หรือไม่ ในเมื่อครอบครัวยุคใหม่มีลูกน้อยราย แต่ต้องดูแลผู้สูงอายุหลายคน ลำพังตัวเองยังเอาตัวแทบไม่รอด ตัวเลขที่น่าวิตกคือหนี้ครัวเรือนของไทย (ไม่รวมหนี้จำนำทะเบียนและหนี้นอกระบบ) สูงอันดับ 2 ของเอเชีย 80 % ของ GDP คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13 ล้านล้าน คนไทยแบกหนี้หลังแอ่น เอาเงินอนาคตมาใช้ ลำพังดอกเบี้ยไม่รวมเงินต้นก็ต้องจ่ายปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้าน แล้วจะเหลือเงินไปใช้จ่าย ดูแลครอบครัว ตัวเอง พ่อแม่ ให้ดีได้อย่างไร

 

ทางออกสำหรับการลงทุนหุ้นในอนาคต ที่คิดว่าพอจะเป็นไปได้ ความเสี่ยงไม่มาก ผมจะมอง global มากขึ้น โดยการขยายไปลงทุนในประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งหากไม่อคติเกินไป น่าจะมีประเทศที่มีศักยภาพที่เก่งกว่าไทย และหากเราลงทุนในประเทศเหล่านี้ โอกาสที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่พอใจย่อมเป็นไปได้สูง แต่การลงทุนในต่างประเทศที่เราไม่คุ้นเคย กลยุทธ์เลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัวอาจไม่เหมาะสม ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ดังนั้นทางเลือกที่น่าจะดีกว่าคือการซื้อ Exchange Trade Fund หรือ ETF ที่อิงกับดัชนีของประเทศที่เราสนใจ ซึ่งมี ETF มากมายหลายเจ้าให้ลงทุน และการซื้อขายสามาระทำได้ง่ายดาย เพียงแค่เรามีบัญชีซื้อหุ้นต่างประเทศ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้กลยุทธ์ “ เกาะชายผ้าเหลือง” ไปกับประเทศที่จะรุ่งเรือง เรานักลงทุนก็น่าจะได้รับผลตอบแทนดีตามไปด้วย แต่การซื้อขายคงต้องดูเวลา มูลค่าที่เหมาะสมด้วย การซื้อช่วงที่ดัชนีประเทศนั้นๆกำลังทำนิวไฮท์ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่

 

แต่แน่นอนว่าการลงทุนหลักผมยังคิดว่าเป็นตลาดหุ้นไทย เพราะเราน่าจะมีความได้เปรียบ รวมถึง การกิน การใช้ เราก็ยังใช้เป็นสกุลเงินบาทเป็นหลัก ผมยังเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นไทย ยังเป็นทางเลือกที่ดี ทุกๆปี ยังมีหุ้นหลายตัวที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่เราอาจพลาดหุ้นเหล่านั้น เพราะใช้กลยุทธ์เดิมๆ ทั้งที่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้เปลี่ยนไป การที่เราทำได้น้อยกว่าตลาดบ่อยๆ ขึ้น อาจเป็นไปได้ทั้งเรื่องของความบังเอิญ หรือยังไม่ใช่เวลาของเรา หรือกลยุทธ์ที่เราใช้ เริ่มไม่ได้ผล แต่นี่เป็นสัญญานเตือนที่ดังชัดเจน

 

อย่างไรก็ตาม จากประวัติศาสตร์ที่เราเรียนรู้ในตลาดหุ้น เวลาผ่านไป ผู้ชนะ กลายเป็นผู้แพ้ ผู้แพ้ กลับมาเป็นผู้ชนะ ไม่แน่นอน หุ้นที่ชนะในปีที่ผ่านมา ก่อนหน้ากลับเป็นหุ้นที่ทำให้นักลงทุนขาดทุนมากที่สุด ตลาดที่ดี กลับกลายเป็นตลาดที่แย่ในปีถัดไป นี่คือสิ่งที่นักลงทุนต้องตระหนัก บางปีเราอาจเลือกชนะ บางปีเราเลือกผิดเป็นผู้แพ้ เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องปกติคือแม้แต่คนที่ลงทุนเก่งที่สุดในโลก ก็มีปีที่ขาดทุน บางครั้งหลายปีติดต่อกัน แต่เมื่อไม่ล้มเลิกก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาชนะ

ขอให้เพื่อนนักลงทุนทุกท่าน ลงทุนด้วยความสุข พร้อมยิ้มรับทั้งสิ่งที่ดีที่สุด และร้ายที่สุด ในปี 2563 ครับ


คนเล่นหุ้น