ห้องเม่าปีกเหล็ก

โพยหุ้น

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
76 views

โพยหุ้น กลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส เลือกหุ้นแกร่งรับตลาดผันผวน

ตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมาก ในช่วงที่ผ่านมา จากสถานการณ์ COVID-19 รวมถึงการเข้าใกล้การประกาศผลการดำเนินการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียน ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในระยะนี้ต้องละเอียดเป็นพิเศษ


บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ทำให้ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติไม่ไหลเข้า ในทางตรงข้ามอาจเห็นการไหลออกแทน ทำให้หุ้น Market Cap กลาง-เล็ก มีโอกาสที่จะ Perform มากกว่า ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่เด่นคือการส่งออก สินค้าเกษตร-อาหาร


ประเด็น Covid-19 น้ำหนักของข่าวมีการหักล้างกันระหว่าง พัฒนาการเชิงบวกของวัคซีน กับ จำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผลกระทบที่มีต่อทิศทางตลาดหุ้นจำกัด ส่วนปัจจัยที่ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักวันนี้เป็นเรื่องของเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งพบว่าในช่วงจากต้นเดือน ก.ค.63 จนถึงปัจจุบันอ่อนค่าลง 2.93% มากเป็นอันดับ 1 ตามด้วยอินโดฯ ซึ่งเงินอ่อนค่าลง 2.55%


สาเหตุหลักนอกจากเรื่องเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 รุนแรงแล้วยังน่าจะเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความร้อนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ผลจากการที่เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ในเชิงกลไกแล้วทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX risk) สูงขึ้น โอกาสที่จะเห็น Fund Flow ไหลกลับเข้ามาจึงเป็นไปได้น้อย


แต่ในทางตรงข้ามอาจทำให้เงินไหลออกจากลาดหุ้นได้ ภาวะดังกล่าวทำให้หุ้น Market Cap ใหญ่ไม่น่าจะ Outperform ตลาด ขณะที่หุ้น Market Cap เล็กมีโอกาสที่ดีกว่า นอกจากนี้หุ้นอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจคือ หุ้นในกลุ่มส่งออกเฉพาะอย่างยิ่งอาหาร-สินค้าเกษตร กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ไม่มีการปรับพอร์ตเนื่องจากโครงสร้างมีหุ้นที่เหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว Top Pick เลือก CPF, MCS และ DCC

Covid-19 มีข่าวดีเรื่องวัคซีน แต่ก็มีข่าวร้ายเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อ

โดยรวม ASPS ประเมินว่าสถานการณ์ทั่วโลกเสมือนเป็นการแข่งขันกันระหว่างการความเร็วของการพัฒนาวัคซีน กับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่  แต่ทว่าในช่วงสั้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจนำหน้าความเร็วของการพัฒนาวัคซีนไปก่อน  และอาจจะเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในตลาดหุ้น


ธปท. เชื่อ 2Q63 เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจ แต่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวยาวนาน
ปัจจัยในประเทศช่วงนี้  ASPS ให้น้ำหนักประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น คือ 


1.) สถานการณ์ Covid-19 หลังจาก พบผู้ติดเชื้อที่เป็น “ทหารอียิปต์” ที่ระยองในช่วง 11 ก.ค.63 หมายความว่าหากต้องการมั่นใจว่าไทยปลอดผู้ติดเชื้อในประเทศชัว  คือ ให้น้ำหนักภายในวันที่ 26 ก.ค. จะเป็นวันที่ครบกำหนด 14 วัน


2.) วันพรุ่งนี้กระทรวงพาณิชย์รายงาน ยอดส่งออก (X) เดือน มิ.ย. ตลาดคาด -6.4%yoy จากเดือน พ.ค. -22.5% และนำเข้า(M) คาด –18% yoy จากเดือน พ.ค. -22.5%  ASPS ประเมินว่ามีโอกาสที่เดือน มิ.ย.  ยอดส่งออกและนำเข้าจะหดตัว เพราะหากพิจารณา ยอดนำเข้า ในเดือน มิ.ย. ของประเทศคู่ค้าหลักของไทย ที่รายงานออกมาแล้วใน 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา


พบว่ายังหดตัวแรงในทิศทางเดียวกัน  อาทิ อินเดีย -47.6%yoy, เกาหลีใต้ -11.2% อินโดนีเซีย -6.4% ญี่ปุ่น -0.8%  ยกเว้น จีน และ เวียดนาม ที่นำเข้าเดือน มิ.ย. พลิกกลับมา +2.7% และ 5.3%ตามลำดับ  อย่างไรก็ตาม ASPS ประเมินจะมีบางสินค้าที่ ASPS คาดยังส่งออกไปได้อาทิ อาหาร เช่น หมู ไก่ เป็นต้น


3.) การผลักดันเม็ดเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และฟื้นฟูในช่วง 2H63  ทั้ง พรก. 1 ล้านล้านบาท (ปัจจุบัน มีการเบิกจ่ายเงินไปทั้งหมด 12.3% ของวงเงินทั้งหมด)  จะเป็นอย่างไร มาตรการใหม่ และการเบิกจ่ายเม็ดเงินจะมีการเร่งได้หรือไม่ เพื่อเป็นแรงส่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2H63  ที่ยังมีความเสี่ยงชะลอตัว


โดยเป็นที่ชัดว่าทุกสำนักเศรษฐกิจเห็นตรงกัน คือ คาด GDP ปี 2563  จะหดตัว  -8-10% สอดคล้องกับเมื่อวานนี้  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยให้ความเห็นสำคัญ คือ เศรษฐกิจ 2Q63 จะเป็นจุดต่ำสุด Bottom ของปี 2563  สอดคล้องกับ ASPS คาด GDP 2Q63 จะหดตัว 15%yoy  และ ธปท. ประเมินว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวคือปลายปี 2564 หรือ มีลักษณะ Nike Shape (/)

 

 

กลยุทธ์การลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ธีม

1. เน้นหุ้นส่งออกพื้นฐานแข็งแกร่ง แถมยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าแรง จากสมมุติฐานของฝ่ายวิจัยฯ ค่าเงินบาททุกๆ 1 บาท ที่อ่อนค่า จะหนุนกำไรหุ้นในกลุ่มส่งออกเพิ่มขึ้นราว 2 พันล้านบาท


โดยแบ่งเป็น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 500 ล้านบาท (แต่หุ้นส่วนใหญ่เต็มมูลค่าพื้นฐานแล้ว) , กลุ่มเกษตรและอาหาร 1.5 พันล้านบาท แนะนำ CPF (รายได้จากต่างประเทศ 70%), STA (ส่งออกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 80%), STGT (ส่งออกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 90%)


2. หุ้นขนาดกลาง-เล็กพื้นฐานแข็งแกร่ง ถือเป็นเป้าหมายอันดับต้นของการนักลงทุนในประเทศ และน่าจะ Outperform ตลาดต่อเหมือนช่วงที่ผ่านๆ มา แนะนำ MCS, DCC, SCCC และ INSET

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree