Trump เตรียมขึ้นภาษี 100% ยานำเข้า
Big Pharma สะเทือนทั้งโลก?
วันที่ 1 ตุลาคม 2025 อาจกลายเป็น “วันพลิกเกม” ของอุตสาหกรรมยาโลก
ถ้าอดีตประธานาธิบดี Donald Trump กลับมาอีกครั้ง… พร้อมนโยบายสุดโหดที่เล่นแรงกับทุกบริษัทที่ “ยังไม่ตั้งโรงงานในอเมริกา”

โพสต์ล่าสุดของทรัมป์ บน Truth Social ระบุว่า:
“เราจะเก็บภาษี 100% กับ ทุกยาที่มีสิทธิบัตรหรือแบรนด์ ที่นำเข้ามาขาย หากบริษัทยาเหล่านั้น ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานในอเมริกา ภายใน 1 ตุลาคม 2025”
“คำว่า ‘กำลังก่อสร้าง’ ต้องหมายถึง breaking ground หรืออยู่ระหว่างก่อสร้างจริงเท่านั้น”
– Donald J. Trump
..
บริษัทที่อาจได้รับผลกระทบ
รายชื่อ Big Pharma ที่น่าจับตา เพราะมีการผลิตหรือ sourcing จากนอกสหรัฐฯ:
AstraZeneca (AZN) – สัญชาติอังกฤษ สาย Oncology / Vaccine
GSK (GSK) – อังกฤษอีกเจ้าที่เน้น Vaccine + Respiratory
Novartis (NVS) – สวิส รายใหญ่ด้าน Biosimilar
Sanofi (SNY) – ฝรั่งเศส เน้น Immunology + Diabetes
Roche (RHHBY) – สวิส เน้น Oncology และ Diagnostics
Pfizer (PFE) – แม้เป็นบริษัทสหรัฐ แต่มีฐานการผลิตทั่วโลก
ในขณะที่บริษัทอย่าง:
Johnson & Johnson (JNJ)
Eli Lilly (LLY)
Merck (MRK)
Bristol Myers (BMY)
จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า ถ้าโครงสร้างการผลิตเน้นในอเมริกา หรือเร่งก่อสร้างเพิ่มทันกำหนด
อ่านให้ลึก: ไม่ใช่แค่ “ขู่” แต่นี่คือ ยุทธศาสตร์นำเข้าอุตสาหกรรมกลับประเทศ (Re-shoring)
นโยบายนี้สอดคล้องกับแนวคิด “America First” ของ Trump ที่เน้น:
ลดการพึ่งพาห่วงโซ่นอกประเทศ โดยเฉพาะจีน-อินเดีย
สร้างงานภายในสหรัฐฯ
เร่งดึงอุตสาหกรรมสำคัญกลับบ้าน เช่น Semiconductor, Battery, และตอนนี้คือ Pharmaceutical
ประเด็นที่นักลงทุนต้องตาม:
ใครมีโรงงานในสหรัฐฯ แล้ว?
→ บริษัทอย่าง LLY, JNJ, BMY มีฐานที่มั่นคงในอเมริกา และมีโครงการขยายโรงงานหลายแห่ง
ใครยังไม่มีแผนก่อสร้าง?
→ AZN, GSK, Sanofi อาจต้องรีบตัดสินใจ มิฉะนั้นจะต้องแบกรับภาษี 100% ต่อผลิตภัณฑ์สำคัญหลายตัว
Biotech สายอเมริกันอาจได้อานิสงส์?
→ หาก Big Pharma นำเข้ายากขึ้น อาจหันไป acquire หรือ partnership กับ Biotech สหรัฐมากขึ้น เช่น REGN, VRTX, BIIB, MRNA
ผลต่อต้นทุนและ margin?
→ บริษัทที่ไม่ลงทุนในอเมริกา อาจต้องขึ้นราคาขายหรือยอม margin ลดลง → กดดันกำไร → กระทบราคาหุ้น
..
กลยุทธ์ของทรัมป์: บีบให้ย้ายฐาน ไม่ใช่แค่ขึ้นภาษี
นโยบายนี้อาจไม่ใช่แค่การหาเสียง แต่คือ “เกมบีบเชิงนโยบาย” ที่ตั้งใจให้ Big Pharma:
เร่งลงทุนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ
จ้างแรงงานอเมริกัน → เพิ่มคะแนนเสียง
ลดการพึ่งพาการผลิตนอกประเทศในช่วงสงครามการค้า
แต่ก็ ไม่ได้หมายความว่าทรัมป์จะเล่นให้ ‘ตาย’
เพราะเขา “เปิดทาง” ว่า ถ้าเริ่มก่อสร้างภายใน deadline → ไม่โดนภาษี 100%
→ นี่คือการ "โยนเงื่อนไข" ที่บีบให้บริษัทต้องขยับ โดยไม่ต้องออกกฎหมายอะไรซับซ้อน
..
มองเชิงกลยุทธ์แบบนักลงทุน
หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีหุ้นกลุ่ม Healthcare หรือ Big Pharma อยู่ในพอร์ต ต้องพิจารณาว่า:
บริษัทที่คุณถืออยู่ ผลิตยาในอเมริกามากน้อยแค่ไหน?
→ ถ้ามีโรงงานใน US อยู่แล้ว อาจได้เปรียบเชิงโครงสร้าง
ต้นทุนในการตั้งโรงงานใหม่เป็นอย่างไร?
→ บริษัทเล็กอาจเจ็บกว่า ถ้าต้องลงทุน CapEx ใหม่โดยไม่ได้วางแผนไว้
การเมืองสหรัฐฯ ใกล้เลือกตั้งแล้ว
→ ทรัมป์กำลังใช้กลยุทธ์ “ขึ้นภาษี” เป็นคันโยกเจรจาต่อรอง
→ และถ้าเขาชนะจริง… บรรยากาศการลงทุนจะเปลี่ยนไปอีกระลอก
AI และ Robotics จะมาเปลี่ยน Cost Structure
→ โรงงานที่กำลังก่อสร้างในอนาคต อาจใช้เทคโนโลยีสูงเพื่อลดต้นทุนแรงงาน → กำไรดีขึ้นในระยะยาว
..
นโยบายนี้ อาจไม่ใช่แค่ลมปาก
ถ้า Trump กลับมาชนะเลือกตั้ง ตลาดต้อง “คิดเผื่อ” ตั้งแต่ตอนนี้
เพราะการวางแผนสร้างโรงงานใช้เวลา และไม่มีใครอยากเสียตลาดอเมริกา
กลุ่มหุ้นที่น่าจับตา:
LLY / MRK / JNJ – ได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
AZN / SNY / GSK – อาจโดนแรงขายถ้ายังไม่แสดงแผนลงทุนใน US
CDMO ในสหรัฐฯ – บริษัทรับจ้างผลิตในอเมริกาอาจได้อานิสงส์ (เช่น Catalent – CTLT)
สรุป:
“AI คืออนาคต แต่ยาคือชีวิต”
และสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณว่า:
ใครอยากขายยาให้คนอเมริกัน → จงมาสร้างในอเมริกา
ใครปรับตัวทันก่อน… อาจไม่ใช่แค่รอด
แต่ “กลายเป็นผู้นำตลาดใหม่” ท่ามกลางการ Re-shoring ครั้งใหญ่
ที่มาเนื้อหา.. หุ้นพอร์ทระเบิด