จับสัญญาณอนาคตหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี มีความน่าสนใจหรือไม่?...เมื่อรัฐเร่งผลักดันสู่ยุคดิจิทัล
ทิศทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปี 2565 จะเป็นอย่างไร หลังจากในช่วงที่ผ่านมาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น จนทำให้หุ้นกลุ่มนี้ครองใจนักลงทุนหลายๆคน ดังนั้นครั้งนี้ Wealthy Thai จะพามาสำรวจพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ที่นักลงทุนถามถึงอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น BBIK, BE8, MFEC, SIS, INSET, AIT, ITEL และ HUMAN ว่ายังมีความน่าสนใจหรือไม่ ผ่านบทความนี้เลย
ล่าสุดดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีมาให้นักลงทุนได้ชื่นใจอีกแล้วอย่างประเด็นข่าว คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบข้อเสนอของกระทรวง Digital ในการลงทุนด้านระบบคลาวด์กลางของภาครัฐ ระหว่างปี 2566-2568 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,216 ล้านบาท
โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงปี 2563-2565 ซึ่งกระทรวง DE ได้ลงทุนพัฒนาระบบคลาวด์ นำโดย NT (บมจ.กสท โทรคมนาคม ในขณะนั้น) แผนการลงทุนในรอบนี้ จะเน้นลงทุนในเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน หน่วยประมวลผลกลางเสมือน หน่วยความจำหลัก และ พืนที้ จัดเก็บข้อมูล โดยจะเป็นลักษณะของการเช่าใช้เป็นหลัก
ประเด็นดังกล่าวนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า การลงทุนใน Cloud อย่างต่อเนื่องของภาครัฐเป็นอีกหนึ่งใน Leading Indicators สำคัญว่าตลาด ICT ประเทศไทย ยังอยู่ในรอบของการลงทุนใน Data Center, Cloud, Big Data, Cybersecurity, และ Digital Transformation ซึ่งสอดคล้องกับ Theme การลงทุนของฝ่ายวิจัยในยุคเศรษฐกิจ Digital เมื่อภาครัฐลงทุน เอกชนย่อมกล้าลงทุนมากขึ้น เป็นบวกต่อทั้งภาพรวมอุตสาหกรรม System Integrator หรือ SI
เนื่องจากงาน Data Center และระบบ Cloud เป็นงานต่อยอดจากทาง NT ซึ่งผู้เล่นที่เคยทำงานดังกล่าวมาก่อน ได้แก่ INSET โดย INSET เป็นผู้ก่อสร้างห้อง NOC ขณะที่ผู้เล่นที่อาจมีโอกาสสอดแทรกเพราะปกติจะรับงานจากทาง NT เป็นประจำคือ AIT เป็นอีกผู้เล่นที่มีโอกาสสอดแทรก โดยฝ่ายวิจัยชอบทั้ง INSET และ AIT ที่ราคาหุ้นพักตัวมาสักระยะแล้วทำให้มีโอกาสถูกตลาดกลับมาเก็งกำไรได้ในประเด็นดังกล่าวในระยะถัดไป
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บอกว่า ประเด็นคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลฯ จัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐและให้ NT เป็นผู้ดำเนินการ รวมวงเงิน 6,216 ล้านบาท แบ่งเป็นการเช่าระบบต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยมีจุดเด่นความปลอดภัยและตั้งอยู่ในประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (จากเดิม คาดเช่าคลาวด์อื่นต่างประเทศ)
ทั้งนี้ประเมินเป็นบวกผู้ให้บริการไอซีทีที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาระบบ ICT (INSET, AIT, ITEL) ที่มีโอกาสได้รับอานิสงส์เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจาก NT เจ้าของโครงการเพิ่มขึ้นรองรับ รวมทั้งครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ให้บริการ Digital Transformation (BBIK, BE8) ที่อาจได้อานิสงส์ทางอ้อมจากภาพอุตสาหกรรมการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอลเติบโตต่อเนื่อง โดยการจัดสรรงบดังกล่าวของรัฐฯ สะท้อนภาพความต้องการพัฒนาระบบดิจิตอลมากขึ้น ในส่วนดังกล่าว คาดกลุ่มลูกค้าเอกชนจำเป็นเร่งพัฒนาเปลี่ยนระบบสู่ดิจิตอลเชื่อมต่อกับระบบภาครัฐฯ เช่นกัน กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไร INSET, AIT, ITEL และซื้อลงทุน BBIK (ราคาเป้าหมาย 74 บาท), BE8 (ราคาเป้าหมาย 53 บาท) จากโอกาสในการได้งานที่สูงและเร่งขึ้น
สำรวจพื้นฐานหุ้นรายตัวกลุ่มเทคฯ
BBIK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บอกว่าประเมินกำไรปี 65 เชิง conservative ที่ 97 ล้านบาท เติบโต 46% จากปีก่อน โดย ณ สิ้นปีก่อน บริษัทมี backlog อยู่ที่ 385 ล้านบาท (รับรู้ปีนี้ราว 245 ล้านบาท คิดเป็น 62% ของประมาณการรายได้ปีนี้) และคาดว่าจะมี backlog มาเติมอีกมากในไตรมาส 1-2/65 เบื้องต้นคาดเร็วๆนี้มีโอกาสได้โครงการใหญ่เพิ่มเติมอีก 1-2 โครงการ นอกเหนือจากงานใหญ่ของกลุ่มกระทิงแดงที่กำลังทำ จึงคงคำ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 74 บาท โดยประเมินกำไรเติบโตสูงเฉลี่ย 44% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังมี upside จากการทำ JV, M&A ที่บริษัทตั้งงบลงทุน 100 ล้านบาทในปีนี้
BE8 รุกกลุ่มลูกค้าภาครัฐ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมินกำไร BE8 ปีนี้โตสูง 40%จากปีก่อน มาที่ 115 ล้านบาท เนื่องจาก รายได้ธุรกิจในประเทศเติบโตสูง 28% โดยเป้าหมายใหม่จะเป็นการรุกกลุ่มลูกค้าภาครัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสอีกมหาศาล เนื่องจากองค์กรเหล่านี้เริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลมากขึ้น และเป็นตลาดที่แข็งขันไม่สูง
ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งคาดสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด (คาดสัดส่วนรายได้จะเพิ่มจาก 1% ในปีก่อน เป็น 5% ในปีนี้) นอกจากนี้มีโอกาสเห็นการเติบโตจากการทำ JV หรือ M&A เพิ่มเติมในปีนี้ หลังได้รับเงิน จาก IPO (มีโอกาสเห็นทั้งการไปทำ JV กับบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆเพื่อทำด้านเทคโนโลยี และการทำ M&A บริษัทที่ทา ด้านเทคโนโลยีและมาต่อยอดบริการของ BE8 ให้ครบวงจรขึ้น) ส่วนภาพระยะกลางคาดกำไรปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าเติบโตสูงต่อ เนื่องเฉลี่ย 41%CAGR ได้แรงหนุนจากการขยายฐานลูกค้า และการเพิ่มสัดส่วน recurring income (คาดเพิ่มเป็น 52% ในปี 67 จากปีก่อนที่ 47%) แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 53.00 บาท
MFEC ผลงานไตรมาส 1 สวย!!
บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า แนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 13.60 บาทต่อหุ้น โดยมอง MFEC ไม่ใช่เพียงแค่ SI แต่จะเป็นหนึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Digital Economy เหมือนรายอื่นในกลุ่ม แต่ยังถูกตลาดประเมินความสามารถต่ำเกินไป
ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 1/65 ที่ 52 ล้านบาท เติบโต 99%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากคาดรายได้ที่ 1.2 พันล้านบาท เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แรงหนุนจาก backlogs ที่แข็งแกร่ง โดยคาด MFEC จะมี Backlogs ณ สิ้นไตรมาส 1/65 ที่ระดับ 6.0 พันล้านบาทสูงมากเทียบกับอดีตที่ระดับ 2-3 พันล้านบาท จากภาวะงานจากอุตสาหกรรม Telecom และอุตสาหกรรม Banking ที่ยังอยู่ในรอบการลงทุนเพื่อ Transform ธุรกิจไปสู่ยุค Digital
ปกติ MFEC จะมีกำไรเด่นในช่วงครึ่งหลัง เมื่อประกอบกับระดับ Backlogs ที่สูงขึ้นต่อเนื่องและแนวโน้มตลาด Cybersecurity ที่คาดเติบโต 25-30% ในปี 2565 ตลาด SI ที่กลับมาเติบโตระดับ 10% ทำให้คงประมาณการปี 2565/66 ที่กำไรปกติ 302 ล้านบาท เติบโต 28%จากปีก่อน และ 361 ล้านบาท เติบโต 20% ตามลำดับ ขณะที่แผนการจดทะเบียน I-TWO บริษัทคาดการณ์จะเกิดขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังปี 65 เป็น Upside Risk ต่อประมาณการ
ขอกจากนี้ในแง่ Business Model เนื่องจากธุรกิจดั้งเดิมของ MFEC เป็นการวางระบบ Core System ให้กับองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดติดภาพว่า MFEC ต้องทำงานในลักษณะ Legacy IT ที่ได้รายได้เป็น One-time และต้องลุ้นงานประมูลทุกปี แต่ในความเป็นจริงการทำ Digital Transformation ในระยะแรกจะเป็นการต่อยอดจาก Core System ไปสู่ End users หรือการทำ Direct to Customer ซึ่งเป็นขอบเขตความสามารถของ MFEC อยู่แล้ว เช่น งานพัฒนาระบบให้เข้าถึงลูกค้า การปกป้องฐานข้อมูล หรืออื่นๆ ดังนั้นยิ่งตลาดก้าวเข้าสู่ Digital Transformation มากขึ้น MFEC ก็จะยิ่งมีโอกาสได้เติบโตเพิ่มมากขึ้นไปพร้อมกับการปรับตัวของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไปสู่ยุค Digital
SIS กำไรจะแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประชุมนักวิเคราะห์ให้ภาพเป็นบวก คาดธุรกิจคลาวด์และความปลอดภัยทางไซเบอร์จะโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คลังสินค้าปัจจุบันพอเป็นกันชนต่อการล็อกดาวน์ของจีนและผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนไปได้อีก 4-6 เดือน คงคาแนะนำ “ซื้อ ” ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น 4% เป็น 52 บาท เพื่อสะท้อนภาพรวมเชิงบวกต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์อัตรากำไรสูง
ทั้งนี้เชื่อว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์คลาวด์และระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์จะหนุนให้กำไรเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 18.5% ในช่วงปี 64-67 ด้วย CAGR สำหรับยอดขายที่ 8.6% และอัตรากำไรที่ปรับดีขึ้นเล็กน้อย ผู้บริหารยังคงมุมมองแข็งแกร่งต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์อัตรากำไรสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ขณะที่ประเมินคาดกำไรไตรมาส 1/65 ที่ 201 ล้านบาท เติบโต 6%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่โตขึ้น แนะนำให้เข้าสะสมหุ้นตั้งแต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรครึ่งปีแรกของปีนี้ จะแตะจุดต่ำสุดของปีจากปัจจัยตามฤดูกาล
ดังนั้นปีนี้กำไรปกติจะแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 929 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์และระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ และยังเชื่อว่ากระแสการหันมาใช้อุปกรณ์ดิจิทัลจากแรงบีบคั้นของสถานการณ์โควิด 19 จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ต่อการใช้ชีวิตประจำวันและด้วยเทคโนโลยี5G เริ่มทวีความสำคัญมากขึ้น ส่งผลให้ภาคธุรกิจลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น จุดนี้เองที่จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท
INSET งานในมือ 2.6 พันล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า INSET ถือว่ามีศักยภาพสูงในการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงธุรกิจ Data center ที่สดใสจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มากขึ้น รวมถึงภาพความมั่นคงระยะสั้นจาก กำไรที่เติบโตสม่ำเสมอปีละ 10-15% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเจ้าของโครงการต่อ INSET แตกต่างจากผู้ประกอบการรับเหมา ICT หลายรายที่มักจะมีจุดอ่อนความไม่สม่ำเสมอการเติบโต ฝ่ายวิจัยกำหนดมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 9.5 บาท ตามภาพอนาคตที่อิงกระแส Tech คงคำแนะนำ ซื้อ
นอกจากนี้ ปัจจุบัน INSET แม้ยังไม่เริ่มรับงานใหญ่ที่มีโอกาสเข้ามาดังกล่าว พัฒนาการธุรกิจยังเห็นสัญญาณการเติบโตที่มีความสม่ำเสมอ โดย Backlog ปัจจุบันสูงราว 2.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราว 2.5 พันล้านบาทในช่วงต้นปี 2565 ซึ่งงานในส่วนเข้ามาหนุน จะยังอยู่ในกลุ่มงานประเภท Data Center ที่ในมุมผู้ประกอบการทั่วไปเองก็ยังมีความจำเป็นต้องลงทุนรองรับปริมาณข้อมูลในธุรกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวม Megatrend การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น (Digital Transformation)
ภายใต้ Backlog ในมือ 2.6 พันล้านบาท มีกำหนดรับรู้รายได้ในปี 2565 ที่ราว 1.2 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงเกือบ 70% เมื่อเทียบกับเป้าหมายรายได้บริษัทและสมมติฐานรายได้ที่ฝ่ายวิจัยใช้ในปี 2565 ที่ 1.76 พันล้านบาท เติบโต 33.8% จากปีก่อน โดยส่วนที่เหลือราว 500 ล้านบาท เชื่อว่ายังรองรับได้ดังเช่นทุกปีที่มีงานประจำกลุ่มการวางเสาโทรคมนาคม และสายไฟเบอร์ให้กับลูกค้าประจำอยู่แล้ว โดยคาดว่าปี 2565 จะรายงานกำไรสุทธิ 195.7 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนอยู่ที่ 170.5 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2565 INSET ยังเห็นกลุ่มลูกค้าหลากหลายมีแผนลงทุน Data Center มากขึ้นอย่างชัดเจน และคาดจากนี้จะเป็นงานหลักที่ INSET มุ่งเน้นเป็นหลัก ซึ่งในกรณีงาน Data Center ฝ่ายวิจัยกล่าวครอบคลุมเฉพาะความต้องการผู้ประกอบการในประเทศรายเดิมๆ ที่เป็นลูกค้าของ INSET อยู่แล้ว โดยยังไม่รวมโอกาสทางธุรกิจจากงาน Hyperscale Data center ของผู้ประกอบรายใหญ่ของโลกที่เดิมลงทุนในประเทศสิงคโปร์แต่เริ่มมีพื้นที่และทรัพยากรจำกัด จึงหันเข้ามาลงทุนสู่ประเทศไทยมากขึ้นแทน และจากกรณีที่บริษัทยักษใหญ่อย่าง Alibaba เข้ามาบุกตลาด Data center ในไทยครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นก่อนที่จะมีรายอื่นๆ ตามเข้ามา
ทั้งนี้ ขนาด Upside ดังกล่าว สำหรับ INSET ฝ่ายวิจัยประเมินมีความสนใจอย่างมาก เพราะเชื่อว่ามีศักยภาพเปลี่ยน INSET หุ้นสามารถเติบโตก้าวกระโดดในระยะกลางถึงยาว โดยหากอิงข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม พบว่า การลงทุน Hyperscale Data Center โดยปกติแล้ว มักจะลงทุนขนาด 20-30 MW ต่อ 1 โครงการ และการลงทุนจะแบ่งเป็นเฟสๆ เฟสละ 4-5 MW โดยมีเม็ดเงินลงทุน MW ละ 300-400 ล้านบาท เท่ากับ การลงทุน 1 เฟส จะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนราว 1.5 พันล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับขนาดรายได้ INSET ปี 2564 ราว 1.21 พันล้านบาท และปี 2565 ที่ราว 1.7 พันล้านบาท การรับงานเพียง 1 เฟสจะช่วยต่อยอดเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
AIT กำไรเติบโตต่อเนื่อง
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แม้ Backlog สิ้นปี 2564 ของ AIT จะเหลือราว 5.13 พันล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แต่การเร่งเซ็นงานของ AIT ตั้งแต่ต้นปี 2565 ประเมินมาจากการเลื่อนประมูลหลายโครงการ โดยเฉพาะในช่วง COVID ระบาด หนุน Backlog ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วมาอยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท โดยไม่รวมถึงงานที่ได้แล้ว รอ PO/เซ็นสัญญาอีกราว 700-800 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 7.5-7.6 พันล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดราว 4.5-5.0 พันล้านบาท จะทยอยส่งมอบปี 2565 ส่งผลให้บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปี 2565 เป็น 7.4 ล้านบาท จากเดิม 6.8 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ Backlog ที่มีจะรองรับเป้าหมายรายได้ปี 2565 แล้วกว่า 60-65% แต่ส่วนที่เหลือราว 2.5-3.0 พันล้านบาท ที่ยังต้องพึ่งพางานใหม่ๆ ระหว่างปี ประกอบกับ ความเสี่ยงที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองช่วงกลางปี 2565 ซึ่งอาจจะกระทบการเปิดประมูลงานภาครัฐฯ ลูกค้าหลัก AIT ได้ในช่วงครึ่งหลังปี 65 ฝ่ายวิจัยจึงคงสมมติฐานรายได้เดิมในปี 2565 ที่ราว 7.0 พันล้านบาทไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมีการปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565-66 ขึ้นจากเดิมเป็น 17.5% จากเดิมที่ใช้ 16.3% และ 16.5% (ทั้งนี้ ยังต่ำกว่าเป้าหมายบริษัทที่กำหนดเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 20%) เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่สูงกว่าคาดในงวดไตรมาส 4/64 ปรับกำไรปี 2565 อยู่ที่ 573 ล้านบาท เติบโตได้ราว 8.7% แต่หากนับกำไรปกติจะลดลง 3.9%
ทั้งนี้ กำไรดังกล่าวยังไม่รวมถึงกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม เจเนซิส ดาต้า เซนเตอร์ (เดิมถือหุ้นโดย AIT 33% ITEL 33% และ WHA 33%) ที่ AIT จำหน่ายไปแล้ว ซึ่งจะบันทึกในงวดไตรมาส 1/65 แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท
ITEL มีดีลซื้อกิจการ
บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนะนำซื้อเก็งกำไร ITEL ราคาพื้นฐาน 6.76 บาท โดยITEL) ตั้งเป้ารายได้ 3.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2.5พันล้านบาท ปัจจุบันมีงานในมือ 3.5 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ปีนี้ 2 พันล้านบาท (งานบริการ&ติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม และงาน Data center) และจะมีประมูลงานใหม่ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้เข้ามาไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท บริหารคาดอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ปีนี้ไม่น้อยกว่า 10% ที่ทำไว้ในปีก่อน
ทั้งนี้กำลังเจรจากับผู้ให้บริการคลาวดใหญ่ระดับโลก์ มาใช้พื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ 0.6 เมกะวัตต์มีแผนขยายขนาดดาต้าเซ็นเตอร์เป็น 2.4 เมกะวัตต์ใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท และตั้งเป้าขยายสู่ 6 เมกะวัตต์ใน 2 ปีข้างหน้า ใช้งบลงทุน 300-400 ล้านบาท รวมทั้งยังกำลังพิจารณาซื้อกิจการบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทสตาร์ทอัพ ปัจจุบันกำลังทำ Due diligence คาดจะสรุปผลได้ในไตรมาส 2/65 โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้โต 30% จากปีก่อน
HUMAN ตั้งเป้ารายได้โต 20-25%
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนะนำ “ซื้อ” HUMAN ราคาเป้าหมาย 14.41 บาท ด้วยประมาณการผลประกอบการเติบโตในอัตราเฉลี่ย 29% ต่อปี ในปี 65-67 จากการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก และการเติบโตจากภายนอก ผ่านการซื้อกิจการ DataOn การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากทีมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับซอฟต์แวร์ระดับโลก เพิ่มโอกาสการขยายตลาดในอนาคต คาดปี 65 มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนอยู่ที่ 170 ล้านบาท
HUMAN ตั้งเป้ารายได้ในปี 65 จะกลับมาเติบโตในอัตรา 20-25% จากปีก่อน แรงหนุนจากการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านทรัพยากรบุคคล (HR Solution) จากความพยายามในการขยายฐานลูกค้าเข้าสู่องค์กรขนาดใหญ่ ผ่านโมเดลให้บริการด้านซอฟต์แวร์บนเครือข่ายคลาวด์ (Software-as-a-Service: SaaS) ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคลในอนาคต การขยายฐานลูกค้า SMEs
รวมไปถึงการเปิดเกมรุกต่อยอดการใช้บริการตรงไปที่พนักงานในระบบที่ HUMAN ให้บริการอยู่ (B2B2C) หลังจากเริ่มมีรายได้จากบริการนายหน้าประกันชีวิต และประกันภัย (Benix) ในปีที่ผ่านมา โดยจะขยายแพลตฟอร์มบริการไปยังสวัสดิการพนักงานด้านอื่น อาทิ บริการด้านสุขภาพ บริการทางการเงิน และการบริหารความมั่นคั่ง (Wealth management) ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร