ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 โบรกเคาะ 14 หุ้นหลบภัย

โดย อิคคิวซัง
เผยแพร่ :
114 views

หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกเคาะ 14 หุ้นหลบภัย เน้น Selective Buy มีปัจจัยบวกเฉพาะ TNN Wealth

หุ้นน่าซื้อวันนี้ 3 พ.ค. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้แกว่ง Sideway-Sideway Down แกว่งในกรอบ 1,650-1,670 จุด คาดปริมาณการซื้อขายเบาบางระหว่างรอผลการประชุมเฟดในวันที่ 4 พ.ค.นี้ เน้นเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาแกว่งตัวในกรอบแคบบริเวณ 1,666-1,673 จุด ก่อนมาปิดทรงตัวที่ 1,667.44 จุด -0.30 จุด (-0.02%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเพียง 69,402 ล้านบาท 

โดยกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเด่นหนุนตลาดได้แก่ กลุ่มพลังงาน ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น, กลุ่มโรงกลั่นตามทิศทางค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้จากปิโตรเคมีเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาหลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า และกลุ่มท่องเที่ยวจากปัจจัยการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศ

 

ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยวานนี้หลังจากที่ปรับตัวลงแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยหลักเป็นการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Tech, พลังงาน และธนาคาร ส่งผลให้ Dow Jones +0.26%, S&P500 +0.57% และ Nasdaq +1.63% 

สำหรับปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้มี 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) การประชุมธนาคารกลางของสหรัฐฯที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4 พ.ค. โดยเราและตลาดคาด Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 50 bps ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามคือขนาดและอัตราเร่งการทำ QT ว่าจะมากน้อยเพียงใด และ (2) อัตราเงินเฟ้อของไทย (CPI) ในเดือนเมษายน 

 

อย่างไรก็ตาม  คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index วันนี้ Sideway-Sideway Down ในกรอบ 1,550-1,575 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง โดยยังคงกลยุทธ์เน้นเก็งกำไรในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และลดสัดส่วนการลงทุนลง เพื่อลดความเสี่ยงจากผลการประชุม FOMC ที่จะประชุมในวันที่ 4 พ.ค. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ กลยุทธ์หลักในช่วงนี้เป็นการเน้นเก็งกำไรเป็นรายวัน และนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจพิจารณานำตราสารอนุพันธุ์เข้ามาช่วยในการเก็งกำไร

 

สำหรับปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะรายงานในวันนี้คือ (1) PMI ภาคการผลิตของไทย (2) PMI ภาคการผลิตของ UK (3) อัตราการว่างงานของยูโรโซน และ (4) ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ

หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 4 ตัว   นำโดย   BANPU  ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกระยะสั้นรออยู่ คือ แนวโน้มกำไร 1Q65 คาดที่ 9.08 พันลบ. เติบโต +492% YoY และ +161% QoQ จากแรงหนุนของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้น จากสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน 

 

คาดว่าราคาพลังงานทั่วโลกมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องใน 2Q65มี Catalyst ที่มีนัยสำคัญ หลัง Reuters รายงานว่าบริษัทมีแผน IPO บริษัทลูกคือ BKV Corp ซึ่งดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ โดย BANPU ถือหุ้นสัดส่วน 96.3% โดยคาดว่าจะมีมูลค่าราว US$2 พันล้านเหรียญ vs Market Cap ของ BANPU ที่ 8.3 หมื่นลบ.  

 

หุ้นเด่นถัดมาคือ   MBK เราคาดว่าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นตั้งแต่ 1 พ.ค. เป็นบวกต่อบริษัท เนื่องจากศูนย์การของบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติในระดับสูง เช่น MBK, Siam Paragon, Icon Siam ฯลฯ ขณะที่ธุรกิจที่เหลือ เช่น โรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ล้วนได้ประโยชน์เช่นกันจากการฟื้นตัวหลัง COVID 

 

ราคาหุ้นซื้อขายที่ PBV เพียง 1.1 เท่า เทียบกับ CPN 3.7 เท่า, CRC 4.2 เท่า, HMPRO 8.6 เท่า นอกจากนั้น ปัจจัยหนุนในระยะกลาง คือ Icon Siam เฟส 2 ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว

 

 

หุ้นเด่นอีกตัวคือ     AOT เราคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มสนามบิน เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงทั้งจาก 1)การเริ่มฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังคลายล็อกมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2)สถานการณ์ COVID ในประเทศที่ดีขึ้นส่งผลบวกต่อการเดินทางในประเทศ คาดผลประกอบการ 2H64/65 จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ และปี 2565/2566 คาดกลับมามีกำไร 1.14 หมื่นลบ. และ +144% YoY เป็น 2.7 หมื่นลบ.ในปีถัดไป 

 

หุ้นเด่นสุดท้าย BRI  เราคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มสนามบิน เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงทั้งจาก 1)การเริ่มฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังคลายล็อกมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2)สถานการณ์ COVID ในประเทศที่ดีขึ้นส่งผลบวกต่อการเดินทางในประเทศ  คาดผลประกอบการ 2H64/65 จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ และปี 2565/2566 คาดกลับมามีกำไร 1.14 หมื่นลบ. และ +144% YoY เป็น 2.7 หมื่นลบ.ในปีถัดไป 

บล.เอเซียพลัส   มองว่า    เศรษฐกิจโลกมี 2 ปัจจัยที่กดดันเริ่มจากการตีความท่าทีของ Fed ที่น่าจะปรับ ขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกในการประชุมรอบเดือน พ.ค. และ มิ.ย.65 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และอาจมีเรื่องของการลดขนาดงบดุลตามมา อีกเรื่องหนึ่งคือความกังวลเรื่อง เศรษฐกิจจีนที่ถูกกดดันจากนโยบาย Covid เป็น 0 ทำให้ดัชนีทางเศรษฐกิจ ต่างๆ ทั้ง PMI และ GDP ออกมาต่ำกว่าคาด 

 

ส่วนในบ้านเราน้ำหนักทั้งหมด อยู่ที่การเปิดเมือง โดยวันที่ 1 พ.ค.65 ได้ยกเลิกระบบ Test&Go พรัอมทั้ง คลายมาตรการในแต่ละจังหวัดทำให้บรรยากาศในการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าบ้านเราเพิ่มเป็นราว 20000 คนต่อวัน หากมีความต่อเนื่อง เป้าหมายปี 2565 ที่ 5-7 ล้านคนก็เป็นไปได้ รอผลประชุม Fed ขณะที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดคาด SET Index เคลื่อนไหวใน กรอบ 1,660 - 1,675 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการปรับเปลี่ยน โดยยังให้ถือ ครองเงินสด 15% หุ้น Top Pick เลือก AOT, BLA และ MCS 

 

หุ้นเด่นตัวแรกคือ   AOT  Downside จำกัด น่าสะสมรอรับการฟื้นตัวในอนาคตกทม. ออกประกาศคลายล็อกตามมติ ศบค.ชุดใหญ่ มีผล1 พ.ค. 65 ขณะที่ประเด็นการยกเลิกTest & Go วันแรกมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศคึกคัก โดยมีเที่ยวบินขาเข้าทั้งสิ้น142 เที่ยวบิน เที่ยวบินขาออก 156 เที่ยวบิน รวมมีผู้โดยสารระหว่างประเทศเดินทางขาเข้า จำนวน 20,606คน

 

โดยหากคิดวันที่เหลือถึงสิ้นปีราว 207 วัน คูณกับจำนวนผู้ผู้โดยสารระหว่างประเทศเดินทางขาเข้า จำนวน 20,606คน จะได้นักท่องเที่ยวราว 4.2 ล้านคน ซึ่งพอรวมกับ

นักท่องเที่ยวในช่วง 4 เดือนแรกแล้ว ถือว่าใกล้เคียงกับทาง ธปท. คาดไว้ที่ 5 ล้านคนในปีนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยัง Laggard SET Index อยู่มาก คงคำแนะนำ ซื้อ ถือเป็นโอกาสสะสม

 

 

 

หุ้นอีกตัวคือ BLA    รับผลบวก Bond Yields ขาขึ้นแนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตในปี 2565 จะฟื้นตัวจากปีก่อนผลบวกจากการที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติเหมือนก่อน Covid-19ระบาด ทำให้การขายเบี้ยประกันชีวิตใหม่สามารถทำได้มากขึ้น ทั้งช่องทางธนาคารและตัวแทน 

 

นอกจากนี้ ธุรกิจลงทุนจะได้ผลบวกจากBond yield ที่เป็นขาขึ้นแนวโน้มกำไสุทธิปี 2565 จะปรับเพิ่มขึ้น 18% yoy จากธุรกิจประกันฟื้นตัว ขณะที่คาดกำไรสุทธิงวด 1Q65 จะ

ฟื้นตัวดีขึ้นจากงวด 4Q64 จากแนวโน้มเบี้ยประกันภัยรับงวด 1Q65 ปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลกำหนด Fair value ปี 2565 เท่ากับ 52 บาท แนะนำซื้อรับผลบวกจากแนวโน้ม Bond yield ที่เป็นขาขึ้น ส่งผลบวกต่อภาพรวมธุรกิจลงทุนของบริษัทประกันชีวิต

 

 

ปิดท้ายด้วยหุ้น  MCS   ราคาเป้าหมาย 21  บาท   คาดประกาศเซ็นงาน ส่ง Backlog ทะยาน 2 แสนตันเงินเยนเริ่มกลับมาแข็งค่าเทียบกับเงินบาท จะส่งผลให้Downside Risk จำกัดคาดว่าช่วง ต้น พ.ค. MCS จะประกาศคว้างานเพิ่มเติมโดยคาดว่าจะทยอยเซ็นสัญญา 4 โครงการ น้ำหนักรวมกว่า 120,000 ต้น และปลายปีนี้มีโอกาสสูงที่จะคว้างานอาคารสูงที่สุดในญี่ปุ่น น้ำหนักประมาณ 50,000 ตัน

 

หากนับรวมกับ backlog ณ สิ้น 1Q 65 ที่มีอยู่ 6.5 หมื่นตัน จะส่งผลให้ MCS มี backlog รวมกันมากกว่า200,000 ตัน รองรับรายได้ 5 ปี ไปจนถึงปี 2569ประเมิน Fair Value อิง PER 10 เท่า ให้ราคาเหมาะสม 21 บาท และมี Dividend Yield 10% แนะนำซื้อ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส   บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)  กล่าวว่า   วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,660 จุด และแนวต้าน1,680 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มเด่น  

 

หุ้นเด่นตัวแรกกคือ GFPT  คาดกำไร 1Q65ที่ 241 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4 เท่าจาก 1Q64ที่ 61 ล้านบาท) แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและส่งออก ผสานอัตรากำไร

ขั้นต้นที่คาดดีขึ้น 11.9%YOYและส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น 254%YOYอีกทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่า เพิ่มแรงหนุนเชิงบวก  เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 16.3 บาท

 

หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ AOT คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวจาก 4 แสนคนปีที่แล้วเป็น 9ล้านคนในปีนี้ จะส่งผลให้ปีนี้AOT คาดขาดทุนเพียง 3,582ล้านบาท น้อยลงจากขาดทุน

15,319 ล้านบาทในปีที่แล้ว และแนวโน้มกำไรจะกลับไปฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 ที่ระดับ 2.75หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปี 2562เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 73 บาท

บล.ไทยพาณิชย์     คาด SET การฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,673-1,680 จุด และในภาพรวมดัชนียังมี downside โดยมีแนวรับที่ 1,660 และ 1,650 จุด ตามลำดับด้วยเผชิญปัจจัยลบการเร่งขึ้นดอกเบี้ย และลดขนาดงบดุลของเฟด ซึ่งติดตามการประชุมในสัปดาห์นี้ รวมถึงการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ กระทบด้านต้นทุนพลังงานของบริษัทจดทะเบียน และเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ 

 

หุ้นเด่นวันนี้  แนะนำ     GFPT  (ราคาเป้าหมาย 17.50 บ.) เป็นหุ้นเด่น โดยคาดกำไร 1Q65 และปี 2565 จะเติบโต YoY ดีที่สุดในกลุ่มอาหาร จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นสอดคล้องกับอุตสาหกรรมไก่เนื้อไทยและกำลังการผลิตใหม่ของบริษัท และ  DELTA  (ราคาเป้าหมาย 514.00 บ.) มองได้โมเมนตัมบวกจากบาทอ่อนและแรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ขณะที่ปี 65 คาดกำไรพลิกโตเด่น YoY เนื่องจากอยู่ในห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจ New S-Curve ซึ่งอุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว

ขณะที่ บล.กสิกรไทย   มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ   1,660-1,680  จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ3 ตัวคือ PTTGC  ราคาปัจจุบัน  50   บาท ราคาเป้าหมาย 55 บาท TIDLOR  ราคาปัจจุบัน  36.75    บาท ราคาเป้าหมาย 40.25   บาท  RS   ราคาปัจจุบัน  17.60 บาท ราคาเป้าหมาย 19.30  บาท

 

ที่มา : บล.หยวนต้า,  บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย

 

ภาพประกอบข่าว : AFP,  TNN Online,พิกซาเบย์

 


อิคคิวซัง