ห้องเม่าปีกเหล็ก

ในยุคของ AI เรายัง ‘คิด’ กันอยู่หรือไม่?

โดย me too
เผยแพร่ :
52 views

ในยุคของ AI เรายัง ‘คิด’ กันอยู่หรือไม่?

By รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ | คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ปัจจุบันคนมีเครื่องมือที่ช่วยให้คิดได้ง่ายกว่าที่เคย แต่ก็นำไปสู่ความท้าทายว่าการใช้เครื่องมือในการคิดบ่อยๆ จะทำให้ความสามารถในการ “คิดให้ลึก” ของคนลดน้อยลงหรือไม่?

 

 

ในยุคที่ข้อมูลและคำตอบต่อคำถามต่างๆ อยู่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งนำไปสู่ความสะดวกและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ก็นำไปสู่คำถามว่า ความสามารถในการคิดของเรายังคงดีอยู่ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ AI และการมีสิ่งรบกวนที่ไม่รู้จบ?

ในโลกยุคดิจิทัล มนุษย์จะต้องเผชิญกับการถูกรบกวนจากการแจ้งเตือนจากบรรดาแอปพลิเคชันต่างๆ ตลอดเวลา ขณะเดียวกันอัลกอริธึมของแอปสังคมออนไลน์ต่างๆ ก็ได้รับการออกแบบให้คนเสพและรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ภายในเวลาอันรวดเร็ว สมองของคนจะถูกฝึกให้เลื่อน อ่านผ่าน และตอบสนองอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะ หยุดคิด ถามกลับ หรือ ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง อาจจะเรียกได้ว่า สมองของคนจะเต็มไปด้วยข้อมูล แต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อข้อมูลเหล่านั้น

มีงานวิจัยจากต่างประเทศที่พบว่าคนในปัจจุบันจะเปลี่ยนงานที่ทำหรือสิ่งที่สนใจทุก 47 วินาที และมักจะกลายเป็นวงจรของการไม่มีสมาธิและทำสิ่งที่ต้องการทำไม่เสร็จ เช่น นั่งทำงานได้พักหนึ่ง เมื่อมีข้อความเตือนเข้ามาก็หยิบมือถือมาดู เมื่ออ่านข้อความได้พักหนึ่งก็เปิดสังคมออนไลน์ไปดูเรื่องราวของผู้อื่น เมื่อดูเรื่องราวของผู้อื่นได้พักหนึ่งก็เปิดแอปช้อปปิ้งเพื่อสั่งซื้อของ

แต่ขณะกำลังซื้อของก็มีข้อความใหม่เด้งเข้ามา ทำให้กลับไปอ่านข้อความใหม่ที่เข้ามาก่อน ขณะเดียวกันก็เหลือบไปเห็นข้อความอื่นๆ ที่เข้ามาแต่ตั้งไม่ให้เตือน ฯลฯ ดังนั้นจะไม่แปลกใจว่าสุดท้ายแล้วในระยะเวลาอันสั้นคนจะคิดหรือทำหลายๆ อย่างได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ทำนั้นจะขาดความคิดในเชิงลึกอย่างแท้จริง

นอกจากสิ่งเร้าหรือสิ่งรบกวนที่เข้ามาตลอดเวลาแล้ว การใช้ AI โดยเฉพาะ Gen AI ตลอดเวลาและต่อเนื่อง ก็ส่งผลต่อความสามารถในการคิดของคนเช่นกัน จริงอยู่ที่ AI ทำให้การคิดง่ายและเร็วขึ้น แต่ก็นำไปสู่คำถามว่าจริงๆ แล้ว AI ทำให้คนคิดดีขึ้น หรือ กลายเป็นเครื่องที่ช่วยให้คนไม่ต้องคิด? 

ยิ่ง AI มีพัฒนาการมากขึ้นเท่าใด AI ยิ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถขาดได้ และกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนได้รับคำตอบที่สำเร็จรูป แต่อาจจะขาดความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นำสิ่งที่ได้จาก AI ไปใช้เลยโดยไม่กลั่นกรองหรืออ่านซ้ำหรือทบทวน จะยิ่งถ่ายโอนกระบวนการในการคิดไปให้ AI ทำแทน

ล่าสุดมีงานวิจัยจาก MIT Media Lab เรื่อง Your Brain on ChatGPT ที่มีการใช้เครื่อง EEG สแกนสมองของกลุ่มผู้ทดลอง โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยมีโจทย์ที่จะต้องเขียนบทความ กลุ่มแรกเขียนด้วยตนเอง กลุ่มที่สองใช้ Google Search ช่วย และกลุ่มที่สามใช้ ChatGPT ผลลัพธ์ที่ได้คือกลุ่มที่ใช้ ChatGPT มีกิจกรรมสมองต่ำที่สุด และเมื่อกลับมาเขียนโดยไม่ใช้ AI พบว่า ยังคิดต่อไม่ออก ขณะที่เนื้อหาที่เขียนมีความคิดสร้างสรรค์และความจำที่แย่ลง สรุปว่าตลอดระยะเวลาที่ทำการทดลองกลุ่มผู้ที่ใช้ AI แสดงออกถึงการทำงานของสมองที่ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

พบว่าการใช้ AI อย่างต่อเนื่องทำให้คนมีความคาดหวังที่จะฝากความคิดไว้กับ AI มากกว่าที่จะแก้ปัญหาหรือคิดด้วยตนเอง จะพึ่งพา AI แทนการคิดด้วยตนเอง นำไปสู่การขาดการพัฒนาการทำงานของสมองที่จำเป็นต่อการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า เมื่อพึ่งพา AI มากเกินไปในการจำ การวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูล สมองของคนจะไม่สามารถจดจำหรือฝึกฝนความชำนาญได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งผลที่ตามมาคือ จะรู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจ

การถูกรบกวนอยู่ตลอดเวลาและการพึ่งพา AI ในการคิดมากเกินไปจะทำให้คนอ่านอย่างผ่านๆ แทนที่จะทำความเข้าใจ จะตอบสนองอย่างเร็วแทนที่จะตริตรอง และ จะเน้นหาคำตอบแทนที่จะตั้งคำถาม

คนควรจะใช้เทคโนโลยีอย่างฉลาด ใช้อย่างมีสติ พยายามทำให้ตนเองเป็นเจ้าของกระบวนการคิดของตัวเอง สามารถเริ่มต้นจาก 1.การลดการรบกวนที่ไม่จำเป็น ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น กำหนดเวลาที่จะต้องอยู่ห่างจากจอ เพื่อให้สมองมีเวลาว่างในการคิด 2.ให้เวลาสำหรับการคิดลึก ทำงานที่ยาก อ่านจริง เขียนจริง โดยไม่มีสิ่งรบกวน 3.กลับมาหัดเขียนด้วยมือและปากกาอีกครั้ง เนื่องจากการเขียนด้วยลายมือและวาดภาพด้วยมือ จะช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดอย่างลึกที่ไม่เกิดขึ้นจากการพิมพ์เร็วๆ 

4.ใช้ AI เป็นผู้จุดประกาย ไม่ใช้ผู้สั่งการ เมื่อได้ผลลัพธ์จาก AI จะต้องถามกลับว่ายังขาดมุมมองไหนอีกไหม? และสุดท้าย 5. ฝึกคิดเรื่องการคิด ถามตนเองเป็นระยะๆ ว่า คิดแบบนี้ทำไม? เชื่อสิ่งนี้เพราะอะไร?

 

 

ที่มา.  https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1191679

 


me too