ห้องเม่าปีกเหล็ก

กสทช. ผู้กำกับโทรคมนาคมตัวจริง!!! เรื่องที่ประชาชนไม่รู้

โดย riter
เผยแพร่ :
60 views

ดีลควบรวมทรูและดีแทคผ่านมาแล้วกว่าหกเดือน นานพอสมควรแก่เวลาที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ควรจะต้องพิจารณาให้เรียบร้อยและมีความเห็นออกมาว่าจะไปอย่างไรต่อต่ก็ยังคงลักลั่นอยู่กับการฟังเสียงทางโน้นทีทางนี้ที ล่าสุดกับกระบวนการจัด Focus Group ที่เหมือนละครป่าหี่ลี้ลับ ที่บอกจะจัดสามครั้งกับสามกลุ่มผู้แสดงความคิดเห็น คือ กลุ่มภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง, กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งกลุ่มแรกทำไปแล้ว แต่อีกสองกลุ่มหลังไม่มีความชัดเจน

 

 

โดยจู่ ๆ หมอลี่ หรือ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. ที่เข้ามานั่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง ก็ออกมาเป็นโต้โผในการจัดเสวนาคัดค้านการควบรวมทรูดีแทค แต่อ้างว่าไม่ใช่ Focus Group ครั้งที่ 2 หลังจากนั้นกสทช. ก็ออกประกาศจะจัด Focus Group ครั้งที่ 3 กับกลุ่มนักวิชาการ ในวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งตามลำดับที่กสทช. ให้ข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้ Focus Group กลุ่มนักวิชาการจะจัดเป็นครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 จะเป็นกลุ่มผู้บริโภค แต่เหตุการณ์กลับออกมาแบบกลับตาลปัตรแบบนี้ คืออะไรกันแน่ แล้วที่หมอลี่ออกมาจัดโดยปฏิเสธว่าไม่ใช่ Focus Group แต่กสทช. นับเป็น Focus Group ครั้งที่ 2 สลับลำดับกับกลุ่มผู้บริโภค คืออะไร และหมอลี่มีสิทธิอะไรมาจัด ด้วยท่าทีคัดค้านการควบรวมตลอดรายการ ซึ่งไม่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับตำแหน่งประธานในคณะอนุกรรมการฯ ที่ต้องวางตัวเป็นกลาง ทั้งหมอลี่ และกสทช. จะตอบคำถามนี้อย่างไร หรือมีอะไรในกอไผ่กันแน่

 

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องทอดเวลาให้ยาวนานออกไป เพราะในข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกสทช. ได้เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของกสทช. ที่สามารถทำได้แทบทุกอย่างในโลกของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทย ยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมที่กำลังเป็นประเด็นอยู่นี้ กสทช. สามารถกำกับดูแลได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดอัตราค่าบริการ ที่จะสามารถกำกับราคาให้สูงก็ได้ ต่ำก็ได้ จะให้มีบริการแบบไหน โปรโมชั่นอย่างไร หรือจะให้เสาสัญญาณตั้งที่ไหน กี่จุด แม้แต่จะเรียกคืนคลื่นความถี่ก็ยังทำได้ จะชี้เป็นชี้ตายเรื่องผูกขาดก็มีข้อกฎหมายกำหนดไว้ให้ด้วย

 

แต่ทุกวันนี้กสทช. แต่ละคนที่ออกมาพูด พยายามบอกว่าตัวเองไม่มีบทบาท ไม่มีอำนาจ ยื้อเรื่องให้ยืดออกไป ซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ชุดเก่าถึงชุดปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากระบวนการทำงานของภาคธุรกิจมีต้นทุนมหาศาล การยืดเวลาการควบรวมออกไป ด้านหนึ่งเท่ากับปล่อยเวลาให้ผู้ที่มีความพร้อมที่สุดได้เปรียบกินเรียบรายเดียวต่อไป ขณะที่อีกสองรายกำลังอยู่ในช่วงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะรวมกันก็ยังทำไม่ได้ จะกระจัดกระจายทางใครทางมันก็ยังต้องรอ ยิ่งช่วงเวลาสุญญากาศแบบนี้ยาวนานเท่าไร การพัฒนาและความต่อเนื่องของอุตสาหกรรมก็ยิ่งล่าช้าและหยุดชะงักมากเท่านั้น

 

อย่าลืมว่าหนึ่งเหตุผลของการรวมกิจการกันครั้งนี้ก็คือ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ที่จะขึ้นมาเท่าทันหรือทัดเทียมผู้นำเบอร์ 1 ในตลาด ซึ่งแต่เดิมเบอร์ 1 ไม่เคยเปลี่ยนหน้า เพราะทุนหนา ครองตลาดทั้งในแง่จำนวนผู้ใช้บริการและรายได้ทิ้งเบอร์ 2 และเบอร์อื่น ๆ ที่เหลืออย่างห่างไกล ดังนั้น หากยังยื้อยุดฉุดกระชากการควบรวมไม่ให้ได้ไปต่อ เท่ากับเป็นการปิดกั้นตลาดไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม นั่นย่อมหมายถึงเป็นการพยายามช่วยเบอร์ 1 ผูกขาดให้มีอำนาจเหนือตลาดต่อไป ไม่เปิดทางให้เบอร์อื่น ๆ ได้มีโอกาสขึ้นมาท้าชิง เช่นนั้นแล้ว การที่บอกว่าหากเบอร์รองสองรายรวมกัน ผู้บริโภคจะเดือดร้อน ก็คงเป็นเพียงแค่ข้ออ้างบังหน้ากระมัง

 

กสทช. ทั้งชุดก่อนและชุดที่เข้ามาใหม่ ปล่อยให้กระบวนการภายนอก มาคอยกดดันการทำหน้าที่ของตัวเองอยู่หรือไม่ ที่ผ่านมายึดความเห็นของนักวิชาการบางสถาบันเป็นหลัก ทำให้การทำงานของกสทช. เน้นหนักไปทางกำกับมากกว่าส่งเสริม เช่น ชี้ว่าให้ใช้ตัววัดที่ค่า HHI กสทช. ก็ต้องเดินตามนั้น โดยไม่ดูบริบทของอุตสาหกรรมและความสมเหตุสมผลของตลาด อ้างเพียงว่าเป็นค่าที่ทั่วโลกใช้ ไทยเราจึงต้องยอมจำนน

 

หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะเชื่อนักวิชาการหรอกหรือ ที่คอยกดดันกสทช. ให้ต้องยึดติดกับคำว่า ไม่เอื้อประโยชน์เอกชน เอาเงินเข้ารัฐให้มากที่สุด จึงมองข้ามปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ทั้งด้านการตลาด การแข่งขันระยะยาว หรือแม้แต่ภาระการเงิน จนทำให้ผลของการประมูลทีวิดิจิทัลทำให้หลายธุรกิจต้องพังพินาศไป ยังไม่รวมถึง การดึงรั้งการประมูล 3G ที่มาจากแนวคิดของนักวิชาการบางสถาบันเช่นกัน ที่มีวิสัยทัศน์เล็ก ๆ ว่า เอกชนจะได้ประโยชน์ ทำให้วิธีการคิดผิดเพี้ยนไปหมด จนมีการล้มประมูล กว่าจะได้มาก็ล่าช้าพร้อมกับอันดับที่ทำร้ายหัวใจว่า ไทยเราเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมูลค่าไลเซนต์สูงที่สุดในโลก ถามว่าเช่นนี้เรียกว่าผู้บริโภคได้ประโยชน์กระนั้นหรือ

 

อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่เพียงแต่ประเทศไทยที่เป็นตลาดผู้เล่นน้อยราย แต่หลายประเทศทั่วโลกก็มีผู้ให้บริการรายหลักเพียง 2 – 3 รายเช่นเดียวกัน ดังนั้น วิธีการคิดของผู้กำกับดูแลอุตสาหกรรมนี้ สมควรที่จะเป็นไปในแนวทางของการส่งเสริมให้ผู้เล่นในตลาดได้เติบโต และดึงดูดผู้เล่นใหม่ ๆ เข้ามา ด้วยการลดกำแพงที่กีดกันการเข้ามาหรือการอยู่ในตลาด ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศของการแข่งขันที่ดี ที่จะนำพาผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด และผู้บริโภคจะได้ประโยชน์มากกว่าการกดดันหรือควบคุมผู้เล่นในตลาด ซึ่งเป็นการบอนไซการเจริญเติบโต การแข่งขัน และการคงอยู่ในตลาด แต่หากยังยืนยันที่จะใช้วิธีการบีบคั้น กีดกัน ควบคุม แม้ครั้งนี้จะห้ามการควบรวม เพื่อรักษาผู้เล่นในตลาดไว้ได้ แต่อีกไม่นานก็จะเหลือน้อยรายอยู่ดี โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่

 


riter