ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยานยนต์เริ่มสดใส

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
106 views

วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยานยนต์เริ่มสดใส COVID-19 ทำให้ IHL ต้องเร่งปรับตัว

การระบาดของ COVID-19 ที่กระจายไปทั่วโลกทำให้หลายหลายๆอุตสาหกรรมต้องชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ล่าสุดประเด็นดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลงแล้วทำให้สำนักวิจัยหลายๆแห่งออกมาประเมินว่าปี 2564 อุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวในทางที่ดี และก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะการฟื้นตัวเริ่มมีมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/63


ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ประจำเดือน ธ.ค. เท่ากับ 142,969 คัน ชะลอตัวจากเดือนก่อน 17% เนื่องจากเดือน ธ.ค. มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน  แต่ยังเติบโตจากปีก่อน 7%ช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่าเป็นเดือนที่สองที่เติบโต หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นตัวเลขติดลบจากสงครามการค้าเมื่อปี 2562 และการระบาดโควิด-19  รวมปี 2563 มียอดผลิตรถยนต์รวม 1,426,970 คัน ลดลงจากปีก่อน 29%


ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ธ.ค. เติบโตได้ดีเท่ากับ 104,089 คัน เติบโต 31%จากเดือนก่อน และเติบโต 11%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงหนุนสำคัญจากงานมอเตอร์เอ็กซ์โปที่มียอดจอง 33,757 คัน  และ การออกรถยนต์รุ่นใหม่ รวมปี 2563  ตลาดรถยนต์ในประเทศมียอดขายรวม 792,842 คัน ลดลง 21%จากปีก่อน ส่วนยอดส่งออกรถยนต์เดือน ธ.ค. ยังติดลบต่อเนื่อง 68,481 คัน ลดลง 8%จากเดือนก่อน ลดลง 5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมปี 2563 การส่งออกรถยนต์ 735,842 คัน ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ โดยแนวโน้มในไตรมาส 4/63 คาดผลประกอบการจะพลิกฟื้น ตามอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่ยอดผลิตรถยนต์พลิกเติบโต 30%จากไตรมาสก่อน และเติบโต 5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ภาพรวมปี 2563 ยอดผลิตรถยนต์ของประเทศ ที่ 1.42 ล้านคัน (-29%YoY) ขณะที่เราคาดกำไรปกติของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ภายใต้ coverage ของเรา ปี 63 ที่ 1,364 ล้านบาท ลดลง 64%จากปีก่อน


สำหรับปี 2564 คาดพลิกฟื้นโดดเด่น จากสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น การผลิตของอุตสาหกรรมจะปรับสู่ระดับปกติ ที่ 70-80% เทียบปี 2563 ที่ 50-60% ประเมินยอดผลิตรถยนต์ของอุตสาหกรรมปรับเพิ่ม 12%จากปีก่อน เป็น 1.57 ล้านคัน เราคาดกำไรปกติหุ้นกลุ่มยานยนต์ ภายใต้ coverage ของเรา ฟื้นตัว 120%จากปีก่อน เป็น 3,003 ล้านบาท


ดังนั้นคงคำแนะนำกลุ่ม มากกว่าตลาด เรามองว่าผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ไตรมาส 4/63 คาดผลประกอบการเริ่มพลิกกลับมามีกำไร ตามตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ที่พลิกเติบโต และคาดว่ากำไรหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนจะกลับมาเติบโตโดดเด่น 255% ในปี 2564 จากฐานที่ต่ำ บนสมมติฐานการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น


โดยเลือก AH  เป็นหุ้น Top pick ด้วย valuation ที่ถูกสุดในกลุ่ม โดยแนะนำ  ซื้อ สำหรับ AH (มูลค่าพื้นฐาน 26.50 บาท), IHL (มูลค่าพื้นฐาน 6.00-7.00 บาท) STANLY (มูลค่าพื้นฐาน 179 บาท) IRC (มูลค่าพื้นฐาน 16.60 บาท) ส่วน SATแนะนำ เก็งกำไร (มูลค่าพื้นฐาน 16.30 บาท)


ทั้งนี้ประเมินว่า AH ในปี 2563 คาดจะรายงานกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมาอยู่ที่ 799 ล้านบาท ส่วน SAT ในปี 2563 คาดจะรายงานกำไรสุทธิ 298 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมาอยู่ที่ 652 ล้านบาท


ด้าน STANLY ในปี 2563 คาดจะรายงานกำไรสุทธิ 765  ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมาอยู่ที่ 1,316 ล้านบาท และIRC ในปี 2563 คาดจะรายงานกำไรสุทธิ 219 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมาอยู่ที่ 237 ล้านบาท


ส่วน IHL นักวิเคราะห์ดังกล่าวบอกว่า เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ที่ 50 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ -17 ล้านบาทในไตรมาส 3/63 และโตจากไตรมาส 4/62 ที่ทำได้เพียง 8 ล้านบาท เพราะกลุ่มยานยนต์กลับมาฟื้นตัวเกือบระดับปกติ และเป็นช่วงเปลี่ยนรถรุ่นใหม่ เช่น Toyota Cross ที่มียอดสั่งผลิตมากกว่าคาดการณ์ของ Toyota กว่า 3 เท่าตัว ทำให้ผลจาก Economy of scale หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเร่งตัวกลับไปสูงกว่า 22% และอัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะทำได้สูงกว่า 11%


นอกจากนี้ คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และการจำหน่ายวัตถุดิบคงเหลือเข้ามาหนุนอีกบางส่วน ถ้ากำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ทำได้ตามที่เราคาด ผลประกอบการทั้งปี 2563 อาจยังขาดทุนอยู่เล็กน้อยราว -4 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีมากเพราะถ้าพิจารณาเป็นรายไตรมาส จะถือเป็นการพลิกกลับมามีกำไรสุทธิครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส    


ขณะที่แนวโน้มปี 2564 คาดว่ายอดผลิตรถยนต์จะฟื้นตัวไปอยู่ที่ 1.8-2.0 ล้านคัน จากการฟื้นตัวของยอดส่งออก ซึ่งคาดว่าพฤติกรรมการเดินทางจะหันมาใช้ยานยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้น ทำให้ตลาดรถ Eco Car กลับมาคึกคักอีกครั้ง ประกอบกับ การเติบโตในระดับสูงของรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้มีความต้องการเบาะหนังหรือส่วนประกอบในห้องโดยสาร เช่น หนังหุ้มพวงมาลัยและหนังหุ้มเกียร์ เร่งตัวขึ้นเช่นกัน ความต้องการจากกลุ่มยานยนต์ดั้งเดิมที่ยังไม่หายไป ผนวกกับ ความต้องการจากกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาเป็นส่วนเพิ่ม ทำให้  IHL  เป็นผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างมากจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีระยะแรก

 

IHL ลูกค้าเฟอร์นิเจอร์จะเป็นตัวเร่งการเติบโตในปีนี้

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวอีกว่า จากการสอบถามข้อมูลไปยังบริษัทพบว่า อุปสงค์เฟอร์นิเจอร์ทั่วโลกเร่งตัวขึ้นจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็น Work from home และการเลือกปรับปรุงที่อยู่อาศัยเดิมแทนการซื้อใหม่ อีกทั้ง เทคโนโลยีและรูปลักษณ์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนที่เปลี่ยนแปลงไป ยังกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเฟอร์นิเจอร์เพื่อให้สอดรับกับความทันสมัย และถือเป็นการยกระดับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น


ขณะที่ ในฝั่งของอุปทานซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน ไม่สามารถตอบสนองความต้องได้ทั้งหมด เพราะผลพวงจากสงครามการค้า และยังมีปัญหาด้านสินค้าขาดคุณภาพ จึงทำให้โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์หลายแห่งย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ที่มีความพร้อมด้านห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า ส่งผลให้ยอดส่งออก


นอกจากนี้จากการรวบรวมข้อมูลยอดส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าในช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 เติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 4.0 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการส่งออกไปสหรัฐฯมากถึง 45% ของยอดส่งออกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด คิดเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงถึง 110% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


สำหรับปัจจุบัน  IHL  ผลิตหนังเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่ 300,000 - 400,000 ฟุตต่อเดือน และผู้บริหารคาดว่าจะเพิ่มเป็น 800,000 - 1,000,000 ฟุตต่อเดือนใน มี.ค. 64 ซึ่งเป็นระดับกำลังการผลิตที่ใกล้เคียงกับลูกค้ากลุ่มยานยนต์ในปัจจุบัน โดยข้อดีของกลุ่มลูกค้าเฟอร์นิเจอร์คือ มีความต่อเนื่องในคำสั่งซื้อมากกว่ากลุ่มยานยนต์ ที่ขึ้นอยู่กับการออกรถรุ่นใหม่ ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นมักสูงในช่วงแรก แล้วลดลงเร็วในช่วงกลาง-ปลายของวงจรชีวิตรถในแต่ละรุ่น ส่งผลให้  IHL  สามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยได้ดีกว่า ดังนั้นหากเป็นไปตามคาดการณ์ของผู้บริหาร เราคาดว่าสัดส่วนการผลิตหนังให้เฟอร์นิเจอร์จะมากกว่าเบาะรถยนต์ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

 

อาจมี Surprise จาก Dog Chew

ในส่วนของงานบริการฟอกและย้อมหนังถือเป็นรายได้ต่อเนื่อง ที่แม้ไม่การเติบโตแต่จะไม่หายไป ขณะที่ วัตถุดิบเหลือใช้ หรือพวกเศษหนังต่างๆ จะเข้าสู่กระบวนการเพิ่มมูลค่าใน 2 รูปแบบคือ 1.ผ่าน บริษัท อินเตอร์ กรีน จำกัด (IG) เพื่อผลิตเป็นโปรตีนจากเศษขี้หนังสัตว์โดยผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะนำไปใช้เป็นอาหารเสริมของพืช 2.นำไปผลิตเป็นของเล่นสัตว์เลี้ยง (Dog Chew)


ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบจะช่วยเพิ่มมูลค่าเศษหนังจาก 3-5 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 100-200 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าจะสร้างอัตรากำไรสุทธิได้สูงกว่า 30% เทียบกับค่าเฉลี่ยที่  IHL  ทำได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราว 11% ส่วนธุรกิจผลิตหนังรองเท้าที่เพิ่งได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่ 2 ราย คาดว่าจะยังไม่ส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ

 

IHL กำไรสุทธิปี 64 ทำสถิติสูงสุด

จากประมาณการเบื้องต้น คาดว่ากำไรสุทธิปี 2564 จะอยู่ในช่วง 300-350 ล้านบาท โดยมีสมมติฐานคือ 1.กำไรจากธุรกิจเดิมกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 200-250 ล้านบาทต่อปี เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตของกลุ่มยานยนต์ยังอยู่ในระดับเต็ม 100% และเป็นช่วงแรกของการออกรถรุ่นใหม่


2.คาดว่ากำไรสุทธิจากกลุ่มเฟอร์นิเจอร์จะคิดเป็น 50% ของกลุ่มยานยนต์หรือราว 100 ล้านบาท จากการค่อยๆเพิ่มกำลังการผลิต และอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงแรกอาจยังต่ำกว่ากลุ่มยานยนต์เพื่อรอให้ Learning Curve ทำงาน 3.ธุรกิจของเล่นสัตว์เลี้ยงคาดว่าจะเป็นดาวเด่น เพราะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบคงเหลือโดยไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่ม เราคาดว่าจะมีกำไรสุทธิราว 50 ล้านบาท จากคาดการณ์รายได้ที่ประมาณ 150 ล้านบาท  

 

IHL ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนภาพการฟื้นตัว

หากกำไรสุทธิปี 2564 เป็นไปตามที่คาด จะคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.51-0.59 บาท โดย ราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่มยานยนต์อยู่มาก โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา -10% แต่กลุ่มยานยนต์ +15%  คาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 7-8% ต่อปี  ประเมินช่วงราคาที่เหมาะสมปี 2564 ได้เท่ากับ 6.00-7.00 บาท โดยอิง PE Multiplier ที่ 12 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่บนหลักความระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมา ราคาหุ้น  IHL  ซื้อขายบน Valuation ที่สูงกว่ากลุ่มยานยนต์ เนื่องจากมีความสามารถในการทำกำไรสูงกว่า โดยมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยในช่วง 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 11% เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มยานยนต์ที่ทำได้เพียง 7%

 

IHL ลุยธุรกิจใหม่

ทีมข่าว Wealthy Thai ได้ต่อสายตรงไปยังนายวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป IHL หรือ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้บอกกับเราว่า “การระบาดของ COVID-19 ทำให้เราต้องปรับตัวในด้านการกระจายธุรกิจ แม้ที่จริงแผนดังกล่าวจะมีมานานแล้วแต่เราไม่ได้เร่งรีบ และพอเราเห็นสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น บางครั้งอุตสากรรมหนึ่งชะลอตัว แต่อีกบางอุตสาหกรรมเร่งตัวขึ้น ทำให้เราต้องกระจายความเสี่ยงมากขึ้น”


สำหรับปัจจุบันบริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายหนังสำหรับเบาะรถยนต์ หนังหุ้มเบาะรถยนต์ หัวเกียร์ และพวงมาลัยรถยนต์ และรับจ้างฟอก รวมทั้งยังขยายไปยังธุรกิจใหม่อย่างหนังตัดขึ้นรูป เฟอร์นิเจอร์ รองเท้า รวมทั้งการนำวัตถุดิบเหลือใช้มารีไซเคิลเป็น ของเล่นสัตว์เลี้ยง อีกด้วย


โดยในแต่ละธุรกิจส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนรายได้มาจากยานยนต์เป็นหลักกว่า 70% รองลงมาจะเป็นรับจ้างฟอกประมาณ 25% ส่วนที่เหลือจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งรองเท้า และอาหารทานเล่นของสัตว์เลี้ยง โดยวางเป้าหมายภายใน 2-3 ปีนับจากนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้มาจากยานยนต์จะอยู่ที่ 50% ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะอยู่ที่ 20% รองเท้าจะอยู่ที่ 10-15% และส่วนที่เหลือจะมาจากอาหารทานเล่นของสัตว์เลี้ยง


อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันยานยนต์ยังคงเป็นธุรกิจที่ให้กำไรมากที่สุดของกลุ่ม รองลงมาก็จะเป็นธุรกิจรับจ้างฟอก ซึ่งในอนาคตเราคาดหวังว่าธุรกิจอื่นๆจะมีการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ บริษัทเริ่มพัฒนาสินค้าเมื่อกลางปี 2563 ถือเป็นธุรกิจที่พึ่งเริ่มดำเนินการ โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงเจรจากับลูกค้าหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างประเทศ อย่างไรก็ตามหากได้รับคำสั่งซื้อก็จะไม่มีมูลค่าสูงเท่าธุรกิจเดิมของบริษัท เพราะยานยนต์จะเป็น OEM ที่ค่อนข้างมั่นคง และดำเนินการมาหลายปีแล้ว ยอดคำสั่งซื้อจะค่อนข้างสูง ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต้องใช้เวลาในการเติบโต เพื่อพิสูจน์ให้กับลูกค้าเห็นถึงประสิทธิภาพ


ส่วนการขยายธุรกิจไปยังอาหารทานเล่นของสัตว์เลี้ยง ถือเป็นบายโปรดักท์ ที่มองว่าเป็นข้อดี เพราะยิ่งบริษัททำหนังมากเท่าไหร่ก็จะมีโปรดักท์นี้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแทนที่บริษัทจะไปขายให้คนอื่นตลอดก็แบ่งส่วนหนึ่งมาทำเอง และอีกส่วนหนึ่งก็ยังขายให้กับรายอื่นอีกด้วย โดยมองว่าอนาคตในแง่ของมาร์จิ้นน่าจะดีพอสมควร แม้ยอดขายจะไม่หวือหวาเหมือนธุรกิจเดิม ส่วนมาร์จิ้นการขายเฟอร์นิเจอร์ และรองเท้าจะอยู่ในระดับเท่าๆกัน


ขณะที่แผนธุรกิจในปี 2564 จะมุ่งเน้นในธุรกิจใหม่ หลังจากธุรกิจหลักในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเห็นการฟื้นตัวแล้ว ดังนั้นปี 2564 คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ และเดินกำลังการผลิตได้เต็มกำลังเหมือนเดิม หลังจากที่หยุดไป 3-4 เดือน และในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาก็ยังเป็นขาขึ้นอยู่


ส่วนธุรกิจรองเท้าทางบริษัทก็ยังดำเนินการต่อ เดินหน้าหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทจำหน่ายให้กับ 2 ยี่ห้อ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขั้นสุดขายเพื่อขยายฐานลูกค้าอีก 2-3 ยี่ห้อ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการส่งตัวอย่าง คาดว่าจะสามารถประกาศข่าวดีได้ภายในปี 2564 ส่วนธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ขณะนี้ยังมีแผนเปิดตลาดเพิ่มมากขึ้น คาดใช้เวลา 2-3 เดือนจะเริ่มส่งตัวอย่าง เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายไตรมาส 1-2/2564 หลังจากที่ผ่านมาบริษัทจำหน่ายให้แก่ โมเดินฟอร์ม


ขณะที่กระแสยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ เพราะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนเครื่องยนต์ ส่วนภายในก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นเพราะหนังยังเป็นที่ต้องการอยู่ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทได้แคมรี่ตัวล่าสุดมา แต่ยอดขายของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เพราะว่าแคมรี่ตัวเก่าก็จะหยุดขายไป และสมมุติว่าแคมรี่เปลี่ยนมาเป็น EV ยอดขายบริษัทก็ยังเหมือนเดิมเพราะแคมรี่ยังทำอยู่


ดังนั้นยอดขายกับค่ายรถยนต์ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อบริษัทได้ลูกค้ายี่ห้อใหม่ หรือรถออกใหม่ ที่ล่าสุดออกรุ่น All NEW Toyota Corolla CROSS ที่ไม่ได้แทนตัวไหนเลย ทำให้ยอดขายบริษัทเติบโต โดยปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจกับ ฮอนด้า นิสสัน และโตโยต้า เป็นหลัก ซึ่งมีแผนเข้าไปเจรจากับอีซูซุเพิ่มเข้ามาอีกด้วย แต่การเข้าค่ายรถยนต์ต้องใช้เวลา


ทั้งนี้ในประเทศไทยบริษัทถือเป็นผู้นำตลาดเบาะหนังรถยนต์มีสัดส่วนกว่า 80% (ไม่รวมรถยุโรป) ถือเป็นเจ้าตลาดของเบาะหนังในเมืองไทย แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับยอดขายของยี่ห้อรถด้วย และถ้าเป็นรุ่นที่บริษัททำส่วนมากทุกรุ่นของโตโยต้า รวมทั้ง HRV ของฮอนด้า และนิสสันส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นหากมียอดขายจำนวนมาก มาร์เก็ตแชร์ก็จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าหากรุ่นทั่วไปของ ฮอนด้า มียอดขายสูงขึ้นมาร์เก็ตแชร์ก็มีโอกาสลดลง แต่หากดูสัดส่วนรวมแล้ว บริษัทได้รับโมเดลที่มากสุด


“เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์เติบโต เราก็จะเติบโตตามไปด้วย แม้จะไม่ตาม 100% เพราะขึ้นอยู่กับในแต่ละปีว่าแคมเปญที่ออกมามีเบาะหนังเยอะมากน้อยแค่ไหน หากออกเยอะเราก็อาจจะเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม แต่โดยปกติแล้วหากอุตสาหกรรมการยนต์โตช้า หรือว่าชะลอตัว แต่เราจะโตเร็ว เพราะเขาจะผลักดันโปรโมชั่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดรุ่นเบาะหนัง เป็นต้น”


อย่างไรก็ตามแม้การแข่งขันในธุรกิจค่อนข้างสูง แต่บริษัทมีจุดแข็งทั้งในเรื่องของธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกดังนั้นเมื่อลูกค้ารายใหญ่เข้ามา ส่วนใหญ่จะมองหาแหล่งที่จะสามารรถสั่งได้ครบในแห่งเดียว และบริษัทมีการดูแลลูกค้าเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ขณะที่เรื่องราคาบริษัทสามารถเสนอได้ในราคาที่เหมาะสมอีกด้วย


IRC
คิดค้นสูตรชิ้นส่วนยางสำหรับรถ EV

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรปี 64-66  เติบโตเฉลี่ย 16.1% CAGRด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี เป็นแบรนต์ผู้นำทั้งในตลาด OEM มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 และเป็นผู้นำในตลาดทดแทน บริษัทขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม มีการพัฒนาแผ่นยางรอสร้างรถไฟซึ่งเติบโตไปพร้อมกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่คิดค้นสูตรชิ้นส่วนยางสำหรับรถ EV รองรับการมาของยานยนต์ไฟฟ้า และยังปลอดหนี้เงินกู้

 

STANLY จุดเด่น Debt Free Company

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เรายังคงคำแนะนำ BUY ที่เป้าหมาย 190 บาท และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มยานยนต์ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/63/64 ของ STANLY ที่ 275 ล้านบาท ลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะรายได้จากการขาย และ GPM ลดลง จากคำสั่งซื้อเดิมลดลง ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน จากรายได้จากการขาย และ GPM เพิ่มขึ้น เพราะคำสั่งซื้อเดิมเพิ่มขึ้น และคำสั่งซื้อใหม่ที่รับรู้เต็มไตรมาส เช่น Isuzu MU-X และ Honda Super Cup เป็นต้น


ดังนั้นภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 คาดฟื้นตัว ต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายและ GPM โดย STANLY เป็นเพียงรายเดียวในกลุ่มยานยนต์ที่มีการเปิดโรงงานใหม่ ซึ่งมี order รองรับแล้ว 100% และยังมีจุดเด่นในเรื่องการเป็น Debt Free Company แม้มีการเพิ่มกำลังการผลิต

 

SAT ให้ยีลด์สูง

สุดท้าย SAT นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาด SAT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ที่ 160 ล้านบาท หดตัว 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะ รายได้รวมลดลง จากคำสั่งซื้อลดลง  และ GPM ลดลง เพราะมีการปรับปรุงไลน์การผลิต ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +98% จากไตรมาสก่อน เพราะ รายได้รวมเพิ่มขึ้น จากคำสั่งซื้อรวมเพิ่มขึ้น  GPM เพิ่มขึ้น จากคาด utilization rate ที่ 58% สูงกว่าไตรมาส 3/63 ที่ 53% โดยเราปรับกำไรสุทธิ ปี 63-65 ขึ้นปีละ 8-12% เพราะรายได้รวม และ GPM ที่ดีกว่าคาด


ส่งผลให้เป้าหมายปรับขึ้นเป็น 18.0 เดิม 13.8 บาท  ภาพรวมเราคาดผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/63 ถึงปี 65 ฟื้นตัวเร็วกว่าที่เราคาดไว้ และยังมีจุดเด่นเรื่อง  dividend yield คาดที่ 3-6% ต่อปี ดังนั้นเราปรับคำแนะนำเป็น TRADING BUY จากเดิม NEUTRAL

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น