ตามที่ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในโพสต์ก่อนๆว่า " เพื่อนของ " เพื่อนผู้รู้ใจ " " บอกว่า ในปัจจุบันเป็นยุคที่ใช้ Supply-Side Economics เข้ามาบริหารเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ใช้ Demand-Side Economics เพราะฉะนั้นปีนี้คือปี พ.ศ 2562 ไม่ควรที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate อีกแล้ว ส่วนในปีหน้าคือปี พ.ศ 2563 และปีต่อไปคือปี พ.ศ 2564 ควรจะปรับลดดอกเบี้ย Fed Fund Rate ด้วยซั้าไป ทั้งนั้เพื่อที่จะให้ตลาดหุ้น Down Jones ปรับตัวขึ้นไปถึง อย่างน้อย 30,000 จุด และ Set Index ปรับตัวขึ้นไปถึงอย่างน้อย 2,471 จุด ในวันก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป 1 วันในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563
อนึ่ง คําว่า " Supply-Side Economics " นั้น เป็นนโยบายการลดภาษีและการลดขั้นตอนและระเบียบของทางรัฐบาล เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าในราคาถูกลงเพราะมีการผลิตสินค้าที่มากขึ้นและมีการจ้างงานที่มากขึ้น โดยเริ่มต้นในสมัยประธานาธิบดี " Ronald Reagan " โดยนักเศรษฐศาสตร์มหภาคชื่อ " Robert Mundell " ซึ่งจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้นเพื่อนํามาใช้ทดแทน " Demand-Side Economics " ซึ่งใช้ไม่ได้ผลในระยะหลังๆ และนโยบายลดภาษีและลดขั้นตอนและระเบียบของทางรัฐบาลนี้ " เพื่อนของ " เพื่อนผู้รู้ใจ " " ก็ได้นํามาบริหารประเทศด้วย โดยเป็นหนึ่งในนโยบายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนั่นเอง!
ส่วนคําว่า " Demand-Side Economics " นั้น ผู้ให้กําเนิดทฤษฎีนี้ก็คือ " Sir John Maynard Keynes " และผู้ที่นํามาปฏิบัติแล้วได้ผลคือประธานาธิบดี " Franklin D. Roosevelt " ในโครงการ " New Deal " เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจที่ตกตํ่าในช่วง " The Great Depresssion " ในปี ค.ศ 1929 และก็ทําได้สําเร็จ แต่ว่าปัจจุบันถือว่าล้าสมัยและใช้ไม่ได้ผลแล้ว
อนึ่ง เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์มหภาคส่วนใหญ่ในหน่วยงานหลักต่างๆทั่วทั้งโลกในปัจจุบัน มักจะใช้ทฤษฎี Demand-Side Economics มาคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจในอนาคต โดยไม่ได้สนใจ " Supply-Side Economics " เลยแม้แต่น้อย เพราะคุ้นเคยและรํ่าเรียนมาเป็นกระแสหลักอยู่แล้วก็เลยง่ายดี จึงทําให้ตัวเลขที่ออกมาผิดหมด แล้วคนอื่นๆก็นําเอาตัวเลขที่ผิดนั้นๆไปใช้ต่อ จึงทําให้ " เรื่องโง่ๆของคนโง่ๆ ที่เหลือก็เลยโง่ตามกันไป! "น่ะ คร๊าบ พี่น้อง!
ส่วนภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่กว่าภาครัฐบาลมากในปัจจุบัน ก็ใช้ Supply-Side มาเป็นตัวกําหนด Demand-Side ด้วยเช่นเดียวกัน โดยการสร้างผลิตภัณพ์ที่มีคุณภาพดีขึ้นมา และไปกระตุ้นให้ผู้คนมีการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ และผลิตภัณฑ์นั้นๆจะเป็นตัวกําหนดความต้องการและความนิยมของตลาดเองเมื่อผู้คนใช้แล้วดีและมีคุณภาพ เช่น Apple สร้าง Iphone ขึ้นมาแล้วเอาไปให้คนลองใช้ดู แล้วผู้คนก็นิยมตามมาเพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีและมีการใช้จนเป็นสินค้าที่ติดตลาด ทั้งๆที่แต่ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีไครใช้และรู้จัก Iphone เลย แล้วมีผลทําให้ Apple ซึ่งเป็นบริษัทฯเล็กๆในอดีต กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเร็วๆนี้ และไม่ไช่เฉพาะ Iphone อย่างเดียว ที่ Supply-Side เป็นตัวกําหนด Demand-Side ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่เข้าข่ายนี้ ซึ่งทําให้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่มูลค่าตามราคาตลาด 5 บริษัทฯ แรกเป็นบริษัทฯที่เกี่ยวกับ Search Engine, Computer Software, E-Commerce และ Social Medias ทั้งนั้นหล่ะะ คร๊าบ พี่น้อง!
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก ( @realDonaldTrump )
2) “ เพื่อนผู้รู้ใจ " รู้ดีว่า " นายตลาดตัวจริงเสียงจริงอย่างเอะอะ โผงผาง ไม่อยู่กับร่องกับรอย " เป็นคนเดียวในโลกนี้ที่ปั่นหุ้นและทุบหุ้นได้โดยไม่ผิดกฏหมาย และ ก.ล.ต ก็ไม่สามารถจะเล่นงาน " เพื่อนของ “ เพื่อนผู้รู้ใจ “ ผู้นี้ " ได้ด้วย และที่สําคัญ " เพื่อนของ “ เพื่อนผู้รู้ใจ “ ผู้นี้ " ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องไปสอบและมีใบอนุญาติในการปั่นหุ้นและทุบหุ้นจากสถาบันการเงินใดๆทั้งสิ้นในโลกใบนี้ ให้เป็นการเสียเวลานะ คร๊าบ! พี่น้อง!