“กองตราสารหนี้โลก” ปีนี้กว่า 49% ติดลบมากกว่า -10% คาดปีหน้าฟื้น...
แนะโฟกัสกลุ่ม “Investment Grade”-ส่วน “กองตราสารหนี้ไทย” ผลตอบแทนจะดีกว่าปีนี้ !!!

.
สาระ Fund วันละนิด: ใกล้จะสิ้นปี22 กันแล้ว ในท่ามกลางมรสุม “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ตลอดทั้งปีและยังมีแววยังจะไต่ระดับไปได้อีกในปีหน้า
.
เล่นเอาปีนี้กลุ่ม “กองตราสารหนี้โลก” บอบช้ำไปตามๆ กัน จาก 76 กองทุน ตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบันมีกองทุนที่ผลตอบแทนที่ผลตอบแทนยังเป็นบวกเพียง 3 กองเท่านั้น นอกนั้นเรียกว่า...“ยกแผงแดงทั้งกระดาน” !!!
.
ในจำนวนนั้นมีอยู่ 37 กอง คิดเป็น 48.68% จากทั้งหมด ที่ผลตอบแทน “ติดลบ” มากกว่า -10%
.
แต่พลันที่สัญญาณ “เงินเฟ้อ” สหรัฐผ่านจุดสูงสุดไปแล้วนั้น การขึ้น “ดอกเบี้ย” เร็วและแรงก็น่าจะชะลอไปด้วยเช่นกัน และอาจเห็น Bond Yield ปรับตัวลงได้
.
ทำให้ช่วงที่ผ่านมานี้ “กองตราสารหนี้โลก” ดูจะกลับมาอยู่ในเรดาร์การลงทุนในปีหน้าอีกครั้ง ส่วนจะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนนั้น วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthythai’ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมาฝากกันเช่นเคย
.
คาด “กองตราสารหนี้โลก” ผลงานดีขึ้นปีหน้า...มั่นใจ “กองตราสารหนี้ไทย” จะให้ผลตอบแทนที่ดี-เตือนนลท.ซื้อ “High Yield” อย่าดูแค่ผลตอบแทน
ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน กลุ่ม “กองตราสารหนี้โลก” ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ติดลบ -17.07% จนถึง +6.18% โดยส่วนใหญ่จะผลตอบแทนติดลบกันถ้วนหน้า ถือเป็นอีกปีที่ไม่ดีนักสำหรับการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศในปีนี้
.
โดย “ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์” Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย มองว่า ปีหน้าโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” (Recession) มีสูงขึ้น ซึ่งต่างจากเศรษฐกิจชะลอตัวปกติทั่วไป ดังนั้นภาวะเช่นนี้ควรระมัดระวังกลุ่มที่เป็น “High Yield” มากกว่าเพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ควรเน้นไปที่กลุ่มที่เป็น “Investment Grade” แทนมากกว่า ในส่วนของภาพรวมผลตอบแทนกลุ่ม “กองตราสารหนี้โลก” ที่ปรับตัวลงไปมากในปีนี้ ในปีหน้าก็มีโอกาสที่จะเห็นผลตอบแทนปรับตัวดีขึ้นบ้างแต่อาจไม่มากเท่าตอนที่ลงมาในปีนี้
.
อย่าลืมว่าปัจจุบัน “ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ” อยู่ที่ 4.50% สูงกว่า “พันธบัตร 10 ปีสหรัฐ” ซึ่งอยู่ประมาณ 3.7% ดังนั้นโอกาสที่จะเห็น Bond Yield ลงอาจจะไม่มาก จะลงได้จริงๆ คงต้องรอให้ดอกเบี้ยนโยบายลงมาก่อนเช่นกัน ในส่วนของผลตอบแทนจากการไปลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นในช่วงดอกเบี้ยขึ้นอาจจะดีจริง แต่ถ้าเปลี่ยนกลับมาเป็น “เงินบาท” แล้ว อาจจะไม่ได้ดีไปกว่าการลงทุน “ตราสารหนี้ในประเทศ” ซึ่งนั่นอาจไม่คุ้มก็ได้ ตรงนี้นักลงทุนคงต้องไปดูเรื่องนโยบายค่าเงินของกองทุนนั้นๆ ด้วยว่ามีการเปิดหรือปิดความเสี่ยงเอาไว้อย่างไร เพราะการลงทุนในตราสารหนี้ผลตอบแทนคงไม่ได้มากอะไร “ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” ถ้าผิดทางอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้เช่นกัน
.
“ปี23 นั้น การลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปีนี้ ถ้าไม่อยากเสี่ยงมากกลุ่ม ‘กองตราสารหนี้ระยะสั้น’ ก็เป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายไทยเองก็อยู่ช่วงขาขึ้น ส่วนใครที่รับความเสี่ยงได้กลุ่ม ‘กองตราสารหนี้ทั่วไป’ ก็น่าสนใจและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระดับ 2% กว่ายังสามารถคาดหวังได้ในปีหน้า ที่สำคัญนักลงทุนที่ชอบซื้อ ‘หุ้นกู้’ กลุ่ม High Yield ในไทยนั้น ขอให้ศึกษาข้อมูลดูให้ดีก่อนลงทุน ใช่ดูแค่ผลตอบแทนแล้วก็ซื้อกัน”
.
แนะลุย “ตราสารหนี้นะยะสั้น” รับประโยชน์จาก “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ต่อเนื่อง
ด้าน “อาทิตย์ ทองเจริญ” Head of Thailand Business Schroders Investment Management (Singapore) Ltd. มองว่า หุ้นกู้ที่มีเครดิตอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ของบริษัทที่มีฐานะการเงินดี และมีผลการดำเนินงานที่ยังไปได้ในช่วงวิกฤติเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เพราะราคาปรับตัวลงมามากในช่วงปีนี้ และยังให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ รวมถึง “Securitization Credit” หรือตราสารหนี้ที่มาจากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยเน้นสินทรัพย์ที่มีรัฐบาลหนุนหลังอยู่ ซึ่งมีผลตอบแทนแบบลอยตัว ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจอีกประเภทคือ สินทรัพย์จริง (Real asset) เช่น สินค้าโภคภัณฑ์บางอย่างที่ป้องกันความสี่ยงเงินเฟ้อได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปลงทุนใน “ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง” หรืออยู่ในระดับต่ำกว่าระดับที่ลงทุน (Non-Investment Grade)
.
“ส่วนธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ ‘Regime Change’ คือ จากที่คุ้นเคยกันเรื่องดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ จะไม่มีอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นภาวะที่เป็นเงินเฟ้อและดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง จึงแนะนำการลงทุน ‘ตราสารหนี้ระยะสั้น’ ที่จะได้ประโยชน์ช่วงดอกเบี้ยขึ้น ซึ่งคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นถึงไตรมาสแรกและคงในระดับสูงตลอดปีหน้า”
.
ชี้ปีหน้า “โอกาสทอง” ของการลงทุนกลุ่ม “กองตราสารหนี้โลก”
เช่นเดียวกับ “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ ที่มองว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสลงทุน ที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยในช่วงต้นปีที่ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FEฏ) จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหลังจากได้ปรับลงอย่างรุนแรงในปีนี้ จนตลาดคาดว่าในปี23 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% ซึ่งเป็นระดับที่สูงและอาจกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐได้ ดังนั้นอาจจะเห็น FED ส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปลายปี23
.
“ซึ่งจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง จะเป็นช่วงโอกาสทองของ ‘ตลาดตราสารหนี้’ โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐ และตราสารหนี้เอกชนที่มีคุณภาพหรือ Investment Grade ซึ่งนักลงทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคง”
เป็นมุมมองที่หลากหลายต่อการลงทุนใน “ตราสารหนี้โลก” ในปีหน้า บางก็มองเป็นโอกาส บางก็มอง “ตราสารหนี้ในไทย” เองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่โดยสรุปแล้วถือว่า...กลุ่ม “กองตราสารหนี้โลก” ที่บาดเจ็บสาหัสในปีนี้ ก็น่าจะฟื้นได้บ้างในปีหน้าพร้อมกับโอกาสการลงทุนของนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการกระจายการลงทุนด้วยเช่นกัน
.
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน