ส่องกระแสเงินสด “ผู้รับเหมา” รายใหญ่

ส่องกระแสเงินสด “ผู้รับเหมา” รายใหญ่

หลัง “อิตาเลียนไทย” ขาดสภาพคล่อง

.

จากปัญหาการขาดสภาพคล่องของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ซึ่งถือเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ของไทย แต่ล่าสุดบริษัทขาดสภาพคล่องอย่างหนัก แม้กระทั่งจ่ายเงินเดือนพนักงานก็ยังไม่ครบถ้วน จนทำให้แรงงานบางส่วนลาออก บางส่วนหยุดงาน

.

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างหาข้อสรุปกับธนาคารผู้ให้สินเชื่อใหม่ และคาดว่าภายหลังจากที่ได้รับสินเชื่อใหม่แล้ว อีกประมาณ 2-3 เดือน สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยประเด็นนี้นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองจิตวิทยาลบต่อกลุ่มธนาคาร

.

ส่วนผลกระทบต่องบการเงิน มองจำกัด หลังจากที่มีการตั้งสำรองไปช่วงไตรมาส 4/66 แล้วระดับหนึ่ง แต่จิตวิทยาบวกต่อหุ้นรับเหมาคู่แข่ง เน้น STEC

.

อย่างไรก็ตาม Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด สิ้นงวดปี 2566 ของบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ในไทย อย่าง CK, STEC และ UNIQ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง

.

เริ่มกันที่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,500.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 35.88% จากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากสัญญาก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็นหลัก ซึ่งปี 2566 บริษัทมีปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้มูลค่า 127,240 ล้านบาท และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ 7,784.01 ล้านบาท

.

ต่อกันที่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 527.72 ล้านบาท ลดลง 38.45% จากปีก่อนหน้า โดยมีรายได้รวม ลดลง 2.39% และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด สิ้นงวดปี 2566 ที่ 4,242.24 ล้านบาท ส่วนมูลค่างานในมือ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลค่างานในมือสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 68,642 ล้านบาท (ไม่รวมงานสนามบินตะเภาที่รอเซ็นสัญญาอีก 27,000 ล้านบาท)

.

ขณะที่บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 127.04 ล้านบาท เติบโต 208% จากปีก่อนหน้า

.

เป็นผลมาจากทางบริษัทมีพื้นที่ในการทำงานอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถใช้เครื่องจักรได้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งไม่ได้มีการลงทุนเครื่องจักรใหม่ ประกอบกับราคาวัสดุก่อสร้างบางส่วนปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 2,836 ล้านบาท