ห้องเม่าปีกเหล็ก

คัด 5 หุ้น “ที่สุดของที่สุด”

โดย water
เผยแพร่ :
369 views

คัด 5 หุ้น “ที่สุดของที่สุด”

พื้นฐานดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง

.

แม้ปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐและยุโรปจะผ่อนคลายความกังวลลง แต่ยังมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากหลายประเทศยังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสงครามรัฐเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้น กระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง

.

จากปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากดดันต่อเนื่อง อาจทำให้การลงทุนและคัดเลือกหุ้นในช่วงนี้เป็นเรื่องยาก Wealthy Thai จึงมี 5 หุ้นเด่นที่พื้นฐานและฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง รวมถึงกำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง น่าซื้อสะสมมาฝาก

.

โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จํากัด ระบุว่า ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ฝ่ายวิเคราะห์ได้คัดเลือกหุ้น AU, BBL, BDMS, CPALL และ GULF เป็นหุ้น Best of the best เพราะมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีแนวโน้มกำไรในปี 2566-2567 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยัง Outperform และมี Valuation ไม่แพง ทำให้คาด Downside เริ่มจำกัด จึงมองเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสม

.

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของ AU บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จํากัด ระบุว่า ปี 2566 คาดบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 190 ล้านบาท โต 56% จากปีก่อน และแตะ 237 ล้านบาท โต 24% กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2567 ตามการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมหลังกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติ การออกสินค้าใหม่และการรับรู้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากขยายสาขาเชิงรุก ส่วนมาร์จิ้นคาดดีขึ้นหลังเกิดผลประหยัดต่อขนาด จากการมีสาขาจำนวนมากและการกลับมาทานที่ร้านมากขึ้น (มาร์จิ้นดีกว่าซื้อกลับบ้านและ Delivery)

.

AU เป็นหุ้นเล็กที่กำไรกลับเข้าสู่ขาขึ้น โดยปี 2566-2570 คาดกำไรยังมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยมากกว่าคาด (ก่อนเกิดโควิด-19 บริษัทมีลูกค้าจีนคิดเป็น 13% ของยอดขายรวม) ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท

.

ส่วน BBL นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทคาดค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ปี 2566 มีแนวโน้มลดลงสู่ระดับปกติที่ประมาณ 1% จากปี 2565 ที่ 1.2% (ฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 1.3%) ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งกลุ่มภาคธุรกิจซึ่งเป็นลูกค้าหลักของทางบริษัทจะได้รับประโยชน์มากสุด

.

โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 3.68 หมื่นล้านบาท โต 26% จากปีก่อน เพราะฐานสินเชื่อขยายตัวจากการเบิกจ่ายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อต่างประเทศ รวมถึง yield on loan ที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น

.

ดังนั้นคงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาเป้าหมายที่ 200 บาท เลือก BBL เป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคาร เพราะได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น มีความเป็นผู้นำด้านสินเชื่อธุรกิจ และมีความแข็งแกร่งในเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และความเพียงพอของสำรองมากสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่

.

ถัดมา BDMS นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดแนวโน้มปี 2566 ยังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง โดยประมาณกำไรปกติที่ 1.39 หมื่นล้านบาท โต 11% จากปีก่อน ตามการเติบโตของกลุ่มคนไข้ปกติซึ่งมาจาก Pent up demand

.

อีกทั้งรับผลบวกเต็มปีจากการฟื้นตัวของคนไข้ต่างชาติ หลังจากที่มีการเปิดประเทศ คาดสัดส่วนคนไข้ต่างชาติจะปรับเพิ่มจากเฉลี่ย 23% ในปี 2565 เป็น 33% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยเป็นการเติบโตสวนทางผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลที่คาดกำไรจะปรับลดลงจากฐานที่สูง คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงมูลค่าพื้นฐานที่ 37.40 บาท

.

ด้าน CPALL บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จํากัด ระบุว่า คาดปี 2566 บริษัทจะรายงานกำไรปกติเติบโต 25% สู่ 1.68 หมื่นล้านบาท โดยการเติบโต 11% จะเกิดจากส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก MAKRO และ Lotus's เพราะยอดขายและมาร์จิ้นดีขึ้น รวมทั้งการผนึกกำลังทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และที่เหลือเกิดจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ฟื้นตัวดีขึ้น เพราะยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ดีขึ้นจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และมาร์จิ้นฟื้นตัวจากการมีสัดส่วนการขายที่ดีขึ้น

.

โดยบริษัทวางแผนเปิดสาขาร้าน CVS จำนวน 700 สาขาต่อปี ในปีนี้และในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ในส่วนของการขยายสาขาต่างประเทศนั้น หลังจากเปิดร้าน CVS สาขาแรกในเดือนส.ค. 64 บริษัทก็เปิดสาขาไปแล้วประมาณ 50 สาขาในกัมพูชา โดยยอดขายเป็นไปตามเป้า บริษัทวางแผนดำเนินงานร้าน CVS ในกัมพูชาเกือบ 100 สาขา และเปิดร้าน CVS สาขาแรกในลาวภายในปี 2566 โดยคงเรทติ้ง OUTPERFORM ราคาเป้าหมายที่ 78 บาท

.

และสุดท้าย GULF นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/66 อาจชะลอลงจากไตรมาส 4/65 ตามปัจจัยฤดูกาลของลมในโครงการ BKR2 และ GGC และมีการลดสัดส่วนใน BKR2 ลงครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 คาดจะเติบโตสูง เพราะมีโครงการ GSRC หน่วยที่ 4 ซึ่งเริ่ม COD ในไตรมาส 4/65

.

ส่วนไตรมาส 2/66 คาดว่ากำไรปกติจะทำระดับสูงสุดใหม่ได้จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Jackson เต็มไตรมาส โดยโครงการ Jackson ที่อาจได้รับผลกระทบจากราคา NG ที่ปรับตัวลงรวมไว้ในประมาณการแล้ว ณ ระดับราคา NG ปัจจุบันยังให้ IRR ในระดับเลข 2 หลัก

.

นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/66 ยังมีโรงไฟฟ้า IPP โรงใหม่ของ GPD หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังผลิต 669 เมกะวัตต์ (ถือสัดส่วน 70%) ซึ่งจะเริ่ม COD วันที่ 31 มี.ค. นี้ สร้างรายได้เต็มไตรมาส คาดทั้งปี 2566 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 1.74 หมื่นล้านบาท โต 52.87% คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 62.25 บาท

 

 


water